MUDBOUND – สร้างชื่อจากงานเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ จนเป็นหนังเนื้อหอมมีบริษัทเข้าชื่อแย่งซื้อสิทธิ์จัดจำหน่าย และท้ายที่สุดเน็ทฟลิกซ์ได้ไป โดยมีการเปิดฉายในโรงภาพยนตร์ที่ลอส แองเจลีส และนิว ยอร์คเพื่อให้ได้สิทธิ์เข้าชิงรางวัลต่างๆ ด้านภาพยนตร์ และนักร้องคุณภาพแมรี เจ.ไบลจ์ ก็กลายเป็นขาประจำในสาขานักแสดงสมทบหญิงแทบจะทุกเวที เช่นเดียวกับที่ได้แสดงศักยภาพการเป็นนักแสดงคุณภาพให้ได้เห็นไปพร้อมๆ กัน
แม้ผู้กำกับดี รีสจะไม่ได้เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากนัก แต่กับแวดวงหนังอินดี และซีรีส์โทรทัศน์เธอก็มีเครดิตในตัวไม่น้อย และอย่างที่บอกไว้ข้างต้น หนังไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อลงจอเล็กๆ ของเน็ทฟลิกซ์ตั้งแต่แรก ซึ่งน่าจะอธิบายได้ว่า ทำไม Mudbound ถึงได้เต็มไปด้วยนักแสดงจอใหญ่ ระดับแถวสองหรือสามมากมาย อาทิ แครีย์ มุลลิแกน, เจสัน คลาร์ค, การ์เร็ทท์ เฮ็ดลันด์ ที่จะนับรวมเจ.ไบลจ์ไว้ด้วยก็ยังได้
ถ้าไม่กลายเป็นหนังเน็ทฟลิกซ์ หนังเรื่องนี้ก็น่าจะเป็นงานอินดีเข้มข้น ที่ว่าด้วยเรื่องความอัปลักษณ์ที่ซ่อนอยู่ในสังคมอเมริกัน ซึ่งไม่ต่างไปจากสิ่งสกปรกที่ถูกซุกเอาไว้ใต้พรม เพื่อทำให้ดูงดงามจากภายนอกที่ถึงคุณภาพเรื่องหนึ่ง
หนังบอกเล่าเรื่องราวที่ว่า ผ่านสองครอบครัวในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่การเหยียดผิวยังคงมีอยู่ ครอบครัวผิวดำของแฮ็ป แจ็คสัน ที่หวังว่าสักวันจะมีที่ทำกินของตัวเอง แต่ปัจจุบันต้องทำงานในที่ดินของคนผิวขาว พวกแม็คอัลเลนที่จากเมืองมาตั้งรกรากในชนบท และทุกอย่างน่าจะราบรื่นกว่านี้หากทุกคนในครอบครัวนี้มีทัศนคติที่ดีกับคนผิวดำ แต่เมื่อแพ็ปปี พ่อของพี่น้องเฮนรีและเจมีเป็นพวกเหยียดผิวขนานแท้ ส่วนเฮนรีก็ไม่ได้ใยดีกับแฮ็ปนัก สถานการณ์ของพวกเขาจึงอยู่ในสภาพอึมครึม ยิ่งรอนเซลลูกชายบ้านแจ็คสันต้องไปรบในสงครามโลก และแฮ็ปเกิดอุบัติเหตุกระดูกแตก โอกาสที่พวกเขาจะมีที่ดินของตัวเองก็ริบหรี่ลงเรื่อยๆ
ทุกอย่างอยู่ในสภาพเสี่ยงกว่าเดิมเมื่อสงครามยุติ รอนเซลกลับบ้านและได้พบเจมีที่ไปรบเหมือนกัน ด้วยความที่ต่างมีแผลสงครามทำให้ทั้งคู่กลายเป็นเพื่อนที่พูดคุยกันรู้ใจ ที่ในยุคคนดำต้องเดินเข้า-ออกประตูหลังร้านค้า นั่งรถเมล์-เข้าห้องน้ำในพื้นที่เฉพาะ มิตรภาพของทั้งคู่จึงเป็นเรื่องอันตราย ที่ผลกระทบไม่ใช่แค่จะตกอยู่กับรอนเซลเพียงเท่านั้น
บทที่รีสเขียนร่วมกับเวอร์จิล วิลเลียมส์ จากนิยายชื่อเดียวกันของฮิลลารี จอร์แดน ค่อยๆ สร้างความตึงเครียดให้กับเรื่องทีละนิดๆ และเติมดีกรีความสนุกด้วยการเล่าผ่านมุมมอง ผ่านความคิดของตัวละครแต่ละคน ในสถานการณ์ที่แตกต่าง โดยให้ทั้งสองบ้านอยู่ในสภาพที่ต้องดิ้นรนเหมือนกัน แต่ที่ต่างกันตรงที่ พวกแจ็คสันยังถูกกดดันซ้ำจากพวกแม็คอัลเลน นายที่ดินของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นการที่ฟลอเรนซ์ ภรรยาของแฮ็ปต้องไปเป็นแม่บ้านให้กับเฮนรี แถมเมื่อแฮ็ปได้รับบาดเจ็บเฮนรียังแสดงความหน้าเลือดซ้ำ เมื่อให้พวกเขาเช่าลาใช้พรวนดินเพาะปลูกให้ทันเวลา โดยเรียกค่าเช่าสูงลิ่ว ซึ่งทั้งหมดตอกย้ำความเป็นคนที่ถูกกดขี่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากคนต่างสีผิวให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ก่อนจะมาถึงไคลแม็กซ์ที่ทำให้รู้สึกช็อค กับความเลวร้ายป่าเถื่อนที่รอนเซล และเจมีต้องเจอ จนทำให้เขาตัดสินใจบางอย่างโดยที่ไม่นึกถึงความสัมพันธ์ภายในครอบครัว
แม้เรื่องราวระหว่างสองตระกูลจะจบในแบบที่ไม่ถึงกับแฮปปี เอนดิง แต่ก็ใช่ว่าปราศจากความสุข หากเป็นความสุขที่ทุกคนที่เกี่ยวข้องเหวอะหวะไปด้วยบาดแผลจากผลกระทบอันเลวร้ายของสิ่งที่เกิดขึ้นโดยทั่วหน้า ราวจะตอกย้ำว่า การเหยียดผิวไม่เคยให้ผลพวงแห่งความสุข ต่อให้ชีวิตดำเนินต่อไปได้ก็ต้องมีความเจ็บปวดร้าวฝังลึกอยู่ข้างในไม่ต่างกัน ไม่ว่าจะยืนอยู่ตรงไหน แล้วที่แสบที่สุด หนังก็ให้ตัวละครบางราย ตกอยู่ในสภาพที่ต้องกลายเป็นส่วนหนึ่งกับสิ่งที่เขาเกลียดชังขยะแขยงมาตลอดชีวิต ซึ่งเป็นสิ่งที่ผลักดันให้เขาทำร้ายคนใกล้ตัวได้โดยไม่ลังเลใจ
ถึงจะเป็นการลงโทษโดยที่ตัวละครไม่รู้สึกรู้สาอะไรแล้ว แต่กับผู้ชม และคนที่ได้รับรู้ นั่นคือความสาสมที่อาจจะน้อยไปสำหรับคนบางคนด้วยซ้ำไป
โดย นพปฎล พลศิลป์ คอลัมน์ ชำแหละแผ่นฟิล์ม นิตยสารเอนเตอร์เทน 1251 ปักษ์แรก มีนาคม 2561
ติดตามอ่านเรื่องราว ข่าวสาร ชมตัวอย่าง ชมคลิป ชม MV อ่านวิจารณ์หนังและเพลง ได้ด้วยการกดไลค์เพจสะเด่าส์ ได้ที่นี่