A PLACE WE KNOW / Dean Lewis
[Island Records/ Universal Music Group]
หนุ่มซิดนีย์กับอัลบัมแรกในชีวิต หลังจากที่เคยมีงานอีพี Same Kind of Different ออกมาเมื่อราวๆ กลางปี 2017 เป็นงานอะคูสติค มีความเป็นป็อปในตัวสูง ดนตรีฟังนุ่มนวล เพลงส่วนใหญ่เป็นงานบัลลาดช้าๆ เล่าเรื่องราวขับขานอารมณ์ที่มีทั้งเศร้า ซึ้ง ซึ่งอาจจะทำให้นึกถึงเจมส์ บลันท์ จากอารมณ์และบรรยากาศของเพลง
ซึ่งก็น่าแปลกใจไม่น้อย เพราะศิลปินที่ทำให้ดีน ลิวอิสหันมาให้ความสนใจกับดนตรี ก็คือ Oasis วงบริท-ป็อปจากเกาะอังกฤษ หลังจากที่ได้ชมดีวีดีบันทึกการของวงในปี 2005 “ผมจำได้ว่าเลียม กัลลาเกอร์เดินออกมาหน้าเวทีโดยสวมแจ็กเก็ทสีแดง ใส่หมวก การได้เห็นเขากับโนล… พวกเขาคือคนที่เท่ที่สุด ผมใช้เวลาห้าปีต่อจากนั้นดูวิดีโอของโอเอซิสทุกชิ้น โดยพื้นฐานแล้วโนล กัลลาเกอร์คือคนที่สอนผมว่า ควรแต่งเพลงยังไง”
เมื่องานที่ได้ยินจากเขา เป็นงานในแบบนักร้อง-นักแต่งเพลง ขายเรื่องราว การเล่าเรื่อง มากกว่าดนตรีที่หวือหวา ในแบบที่ศิลปินผู้เปิดตาให้เขามองเห็นดนตรีเป็น
และกับอัลบัมเต็มชุดแรก A Place We Know ลิวอิสก็พาคนฟังดำดิ่งลึกลงไปมากกว่าที่เคยสัมผัสจากอีพีขนาดกระทัดรัดที่มีเพียงแค่หกเพลง
เริ่มจาก “Hold of Me” งานโฟล์คที่มีจังหวะจะโคน เสริมด้วยเสียงเครื่องเป่าที่แทรกเข้ามาในช่วงดนตรีโหมประโคมความรู้สึกเต็มที่ ตอกย้ำการเป็นเพลงปลุกเร้าให้กำลังใจกับคนที่ผิดหวัง มีบาดแผลในชีวิต ที่เจ้าตัวพร้อมจะเป็นอ้อมกอดแห่งความอบอุ่นให้ ผ่านชีวิตที่เพิ่งพบกับการเลิกราได้เพียงแค่ 7 นาที ใน “7 Minutes” 7 นาทีที่ชีวิตแปลงโลกเปลี่ยน แม้จะถูกเล่าผ่านดนตรีที่จังหวะจะโคนรุกเร้า ฟังสนุก หากก็สัมผัสได้ถึงความเศร้าที่ยังเกาะกุมความรู้สึกได้ ผ่านเสียงร้อง ที่ถึงและเต็มอารมณ์
เพียงสองเพลงก็ส่งสัญญาณให้รับรู้ได้ว่า เพลงของหนุ่มคนนี้ที่จะว่าไปแล้วยังหาที่ทางของตัวได้ไม่ชัดเจน ก็มีบางสิ่งบางอย่าง ที่แม้จะเรียกไม่ได้ว่า มีลักษณะเฉพาะตัว แต่ก็เป็นสิ่งที่ทำให้หูและใจจดจ่ออยู่กับเพลงที่ฟัง ดนตรีที่ได้ยิน และเนื้อหาที่ได้รับรู้ แล้วก็มากพอที่จะทำให้มองข้ามความบกพร่องของเนื้องานไปได้อย่างไม่ยากเย็น นั่นก็คือเรื่องของอารมณ์ที่ถูกส่งต่อออกมา
แล้วก็ต้องให้เครดิตกับการแต่งเพลง ที่มาพร้อมกับท่วงทำนองที่รื่นหู ฟังไหลไปได้สบายๆ ตั้งแต่เพลงแรกจนถึงเพลงสุดท้าย ไม่ว่าเรื่องราวที่ถูกนำเสนอนั้น จะเป็นเรื่องราวแบบใด หม่นหมอง, โศกเศร้า หรือเพียงแค่บอกเล่าความเป็นไปของชีวิต ด้วยเช่นกัน
ขณะที่การใช้ถ้อยคำ ลิวอิสคือนักเล่าเรื่องที่ใช้ภาษาเรียบง่าย ว่ากันแบบตรงไปตรงมา มากกว่าจะเป็นนักปรัชญา หรือนักเปรียบเทียบเปรียบเปรย ไม่ต้องตีความหรือหาความหมายที่ซุกซ่อน เพราะทุกอย่างนำเสนอออกมาแบบซื่อๆ ง่ายๆ อาจจะมีพลิกแพลงบ้างสำหรับมุมในการมอง แต่ก็เป็นการเล่าเรื่องในแบบ 1-2-3-4 ที่รับรู้ข้อความ คิดตามแล้วก็เห็นภาพลอยมาได้อย่างชัดเจน
โดยมีเสียงร้องกำหนดทิศทางของอารมณ์ความรู้สึก ไม่ให้กระเจิดกระเจิงไปมากกว่าที่เจ้าของเพลงต้องการสื่อ ที่ทำให้เพลงรักที่มีแค่เรื่องของความผิดหวัง, การจากลา กลายเป็นเพลงที่น่าฟัง ไม่ให้รู้สึกคร่ำครวญจนเกินไป
และบางเพลงก็มาพร้อมมุมมองที่น่าสนใจ อย่าง “But how am I supposed to love you when I don’t love who I am? / And how can I give you all of me when I’m only half a man? / ‘Cause I’m a sinking ship that’s burning, so let go of my hand / Oh, how can I give you all of me when I’m only half a man?” ใน “Half A Man” ที่พูดถึงการเป็นคนรักที่ไม่สมบูรณ์พร้อม ที่ยังคงมีบาดแผลหรือปัญหาของตัวเองที่ต้องแก้ไข อย่างที่ว่าเอาไว้ “‘Cause I’m a sinking ship that’s burning, so let go of my hand” ซึ่งนอกจากจะเป็นเพลงสุดท้ายของอัลบัมแล้ว ยังเป็นเพลงเดียวที่ลิวอิสเลือกที่จะใช้เปียโนเป็นศูนย์กลางในการเล่าเรื่อง ขณะที่เพลงอื่นๆ ใช้กีตาร์อะคูสติค หรือการบรรเลงทั้งวง เป็นหลัก
แม้อารมณ์จะไม่ต่างไปจากเพลงอื่นๆ แต่เสียงเปียโนกับเสียงร้องที่โหยไห้ ก็ขับเน้นบรรยากาศของการอำลาได้ผิดไปจากที่เพลงอื่นๆ เป็น รวมทั้งสามารถส่งคนฟังให้เดินออกจากอัลบัมชุดนี้ได้อย่างสวยงาม ถึงไม่ใช่เรื่องราวแบบ Happy Ending แต่ก็ปิดจบได้อย่างสมบูรณ์ ไม่มีอะไรที่ต้องค้างคาใจ
ก็ไม่ต่างจากอัลบัมชุดนี้ ที่ไม่ใช่อัลบัมที่สมบูรณ์พร้อม แต่อย่างน้อยดีน ลิวอิส ก็แสดงให้เห็นว่า มีของในตัว ทั้งเสียงร้อง การแต่งเพลง ขาดเพียงแค่สิ่งที่จะทำให้เขาแตกต่างไปจากศิลปินที่มาก่อน แต่ถ้าไม่คิดมองไกลไปขนาดนั้น มองแค่สิ่งที่อัลบัมนี้เป็น
งานที่ดีน ลิวอิสสร้างสรรค์ มันแทบไม่มีอะไรต้องให้ติกันเลย
โดย นพปฎล พลศิลป์ คอลัมน์ วิจารณ์-แนะนำ นิตยสารสีสัน ปีที่ 30 ฉบับที่ 7 มีนาคม 2562