สัมไม่พลาด

เมื่อแฮร์รี พ็อตเตอร์นั่งโต๊ะคุยกับโฟรโด แบ็กกินส์ เอไลจาห์ วูดสนทนากับแดเนียล แรดคลิฟฟ์

2001 เป็นอีกหนึ่งปีสำคัญของโลกภาพยนตร์ เมื่อนวนิยายสองเรื่องที่ได้รับความสำเร็จ และได้รับความนิยมชมชอบจากผู้อ่านมากมาย ที่กำเนิดเกิดขึ้นต่างยุคต่างสมัยกันกลายเป็นภาพยนตร์จอใหญ่ และประสบความสำเร็จอย่างงดงาม มีภาคต่อตามออกมา เรื่องหนึ่งจบลงตรงหนังเรื่องที่สาม แล้วก็มีเรื่องราวตอนก่อนกลายเป็นภาพยนตร์อีกสามเรื่อง อีกเรื่องกลายเป็นภาพยนตร์จอใหญ่ถึง 8 เรื่อง ก่อนจะตามด้วยตอนแยกที่เป็นตอนก่อนในคราวเดียวกัน ที่หนังเรื่องที่สามกำลังถ่ายทำอยู่

ไม่บอก หลาย ๆ คนก็คงรู้ว่ากำลังพูดถึง ‘Lord of the Rings’ และ ‘Harry Potter’

ในวาระที่หนังเรื่องแรกในชุดของหนังทั้งสองเรื่องอายุครบ 20 ปี นิตยสารเอ็มไพร์ของอังกฤษ จับสองนักแสดงจากหนังสองเรื่อง เอไลจาห์ วูดกับแดเนียล แรดคลิฟฟ์ ที่รับบท โฟรโด แบ็กกินส์และแฮร์รี พ็อตเตอร์ มาพูดคุยกัน และนี่คือบทสนทนาของสองนักแสดงที่รับบทตัวละครสำคัญในหนังที่เป็นตำนานแห่งโลกภาพยนตร์

ภายในเวลาไม่กี่นาทีที่การสนทนาเริ่มต้นขึ้น เห็นได้ชัดว่าแดเนียล แรดคลิฟฟ์และเอไลจาห์ วูดเป็นคนแบบเดียวกัน แม้วูดอาจจะอายุมากกว่าแรดคลิฟฟ์ถึง 9 ปี และปลีกตัวจากงานฉลองวันเกิดอายุครบ 40 ปี เพื่อมาพูดคุยกับแรดคลิฟฟ์ผ่านแอพพ์ซูม ซึ่งฝ่ายหลังอยู่ในระหว่างถ่ายทำซีรีส์ ‘Miracle Workers’ ปีที่สามให้สถานีสกายในแอลเอ. บ้านเกิดทั้งคู่ก็อยู่ห่างไกลกัน วูดเกิดที่ซีดาร์ แรพิดส์, ไอโอวา ส่วนบ้านเกิดของแรดคลิฟฟ์คือที่ลอนดอน แต่การต่อกันติดระหว่างทั้งสองคน เกิดขึ้นในทันทีและไม่สามารถโต้แย้งได้

ทั้งสองคนเป็นนักแสดงตั้งแต่เด็ก เช่นเดียวกับเป็นนักแสดงนำในหนังภาคต่อระดับบล็อคบัสเตอร์ที่อายุครบ 20 ปีในปีนี้เหมือนกัน และต่างก็เป็นคนสำคัญในโลกของหนังแฟนตาซี ทั้งคู่ยังเพลิดเพลินกับการทำงานต่อในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ที่ให้อิสระกับพวกเขาได้ทำอะไรที่อยากทำ ไม่สำคัญว่า จะ “บ้าบอคอแตกขนาดไหน” แรดคลิฟฟ์บอก หลายๆ คนอาจสับสนระหว่างคนคู่นี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ให้อภัยกันได้ กับการพูดคุยที่กินเวลานาน และเต็มไปด้วยชีวิตชีวาครั้งนี้ มีอะไรเกิดขึ้นมากมาย และบางอย่างก็ไม่เป็นไปอย่างที่บางคนคิด

เมื่อการสนทนาจบลง ทั้งคู่สัญญาว่าจะยังติดต่อกัน ซึ่งอาจมีนัยว่า วันหนึ่งพวกเขาอาจทำงานร่วมกัน ขณะที่ช่วงหนึ่งในการพูดคุยไปไกลถึงการทำงานในฐานะผู้อำนวยการสร้างของวูด และบทหนังที่ “โคตรตลกร้าย” ที่แรดคลิฟฟ์กำลังเขียน ต่อให้แรดคลิฟฟ์ที่พยายามเลี่ยงการปรากฏตัวในฐานะแฮร์รี พ็อตเตอร์ต่อหน้าธารกำนัลมาหลายปี ประสบการณ์ที่ขนานกันของพวกเขา ในฐานะหน้าใหม่ของสองหนังภาคต่อที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด ยังคงปกคลุมทั่วการสนทนา

วูดและแรดคลิฟฟ์มีคำถามมากมายต่อกันและกัน เก็บความรู้สีกที่มีต่อกันน้อยมาก ซึ่งทำให้ได้รู้ว่า หนังมหากาพย์ทั้งสองเรื่องมีความเกี่ยวพันกันขนาดไหน และได้รู้ว่า แม้จะครบสองทศวรรษในการออกฉาย แต่หนังที่สร้างจากนิยายทั้งสองเรื่องนี้ ยังคงมีบทบาทในชีวิตของผู้คนจวบจนทุกวันนี้ และอาจจะมากกว่าที่เคยเป็นในอดีต มากมายขนาดไหน

@ พวกคุณเคยเจอกันมาก่อนหน้านี้หรือเปล่า?
เอไลจาห์ วูด: “เคยนะ ตอนถ่าย ‘Prisoner of Azkaban’ ใช่ไหม?
แดเนียล แรดคลิฟฟ์: “ใช่ ๆ วันนั้นปีเตอร์ แจ็คสันมาเยี่ยมกองถ่ายด้วยใช่หรือเปล่า?”
วูด: “ผมคิดว่านะ… เราอยู่ในลอนดอน มาลงเสียงให้กับหนัง แล้วเขาก็อยู่ในเมืองด้วย เพื่อทำงานดนตรีประกอบ ผมจำได้ว่าเราอยู่ในช่วงของการทำงานหลังการถ่ายทำของ ‘Return of the King’ เราเลยไปปรากฏตัวในกองถ่ายของคุณ มันโคตรเจ๋งเลย”
แรดคลิฟฟ์: “ผมจำได้ชัดแจ๋ว เรากำลังถ่ายฉากของลูแปง ตอนนั้นพวกเราเป็นเด็ก ๆ คุณก็กำลังเป็นหนุ่ม ดูเป็นพี่ชายคนโตที่โคตรเท่ มันเลยรู้สึกเยี่ยมมากๆ ที่ได้เจอคุณในกองถ่าย ผมจำได้ด้วยว่า มันมีความรู้สึกแบบ หนังภาคต่อสองเรื่องกำลังแข่งกันในตอนนั้น ซึ่งบางทีเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับสื่ออังกริ๊ด อังกฤษ”


@ ตอนนั้นมีความรู้สึกแบบศัตรูกันระหว่างหนัง ‘Harry Potter’ และ ‘Lord of the Rings’ เกิดขึ้นในกองถ่ายบ้างไหม?
วูด: “จากมุมของผม ไม่มีเลยนะ ไม่มี มีแค่ความชื่นชมต่อหนังมหากาพย์อีกเรื่อง ที่ถูกสร้างขึ้นมาพร้อมๆ กัน โดยฝีมือคนทำหนังระดับสุดยอดและทีมนักแสดงที่น่าทึ่ง”
แรดคลิฟฟ์: “ใช่เลย ไม่มีเหมือนกัน ทำให้เวลาเจอกับสื่อ เรื่องการเป็นคู่ปรับกันทำให้ผมรำคาญ เพราะผมรู้สึกแบบ…. ‘เราไม่รู้สึกอะไรแบบนี้’ มันเป็นเรื่องที่โคตรติงต๊องเลย”

@ รู้สึกยังไงกับการที่หนังทั้งสองชุด ถูกจับมารวมกัน และแทบจะแทนที่กันได้ในโลกของหนังแฟนตาซี?
วูด: “มันสนุกดี กับการที่หนังทั้งสองเรื่องครองจักรวาลอยู่พักหนึ่ง มันมีความสับสนที่เกิดขึ้นไปตามธรรมชาติมากมาย แต่เราก็ไม่เคยพยายามทำความเข้าใจมันนะ เพราะเรารู้สึกเสมอว่า โลกมีความแตกต่างหลากหลาย”
แรดคลิฟฟ์: “ผมรู้สึกว่า มีคนจำนวนมากถ้าเราไปถามเขาว่า ‘เอียน แม็คเคลเลน เล่นหนัง ‘Harry Potter’ ใช่ไหม?’ เขาจะตอบว่า ‘ใช่’ นั่นก็เพราะรู้สึกว่า เรื่องแบบนี้น่าจะเกิดขึ้น”
วูด: “แล้วคุณก็ถูกทักผิดว่าเป็นผมใช่ไหม?”
แรดคลิฟฟ์: “โอ… เป็นร้อยๆ ครั้ง”
วูด: “และมันก็ยังเกิดขึ้นในวันนี้ ในทางกลับกัน”
แรดคลิฟฟ์: “เอ่อ… อย่างแรกเลย ผมต้องขอโทษด้วย”
วูด: (หัวเราะ) “ไม่เป็นไรหรอก ผมก็ต้องขอโทษเหมือนกัน”
แรดคลิฟฟ์: “อย่างที่สอง… พอเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับคุณ คุณรู้สึกยังไงบ้าง? เพราะเมื่อไรก็ตามที่ผมโดนทักว่าเป็นคุณ ผมจะรู้สึกแบบ… ‘เท่จัง! เอไลจาห์ วูดอายุมากกว่าฉันนะ และตอนนี้ฉันรู้สึกว่าตัวเองโคตรเท่เลย’ แต่ถ้าคุณโดนทักว่าเป็นผมที่อายุน้อยกว่า มันไม่กวนใจคุณบ้างเหรอ?”
วูด: “เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ในชีวิตผม ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะบอกว่ามันเริ่มต้นขึ้นตอนไหน แต่ถ้าผมถูกทักผิดว่าเป็นคุณในปี 2001 หรือ 2002 คงเป็นเรื่องพิลึกมากๆ เพราะคุณดูเด็กกว่าผมเยอะเลย มันคงเกิดขึ้นหลังหนัง ‘Lord of the Rings’ เรื่องสุดท้ายออกฉาย ซึ่งคุณอายุมากขึ้นแล้ว หนังพวกนั้นก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เราสองคนก็ถูกโยงเข้าด้วยกันด้วยวิธีการบางอย่าง”
แรดคลิฟฟ์: “นั่นก็เพราะเราทั้งคู่ตัวเตี้ย, ผิวซีด ๆ, ตาสีฟ้า, มีผมสีน้ำตาล ผมอยากจะบอกว่า จริงๆ เราไม่ได้แค่เหมือนกัน แต่ความคิดเราก็เหมือน ๆ กัน”
วูด: “เป๊ะเลย”
แรคดลิฟฟ์: “มีอยู่ครั้งหนึ่งตอนเดินพรมแดงที่ญี่ปุ่น แล้วมีภาพของคุณถูกส่งมาให้ผม สัญชาตญานแรกของผมก็คือ ‘โอ้ย… ไม่ใช่ผม ผมเซ็นไม่ได้…’ แต่กำแพงภาษามันหนักหนาสาหัสมาก ๆ วิธีที่เร็วที่สุดในการจัดการกับเรื่องนี้ก็คือ เขียนลงไปว่า ‘ผมไม่ใช่เอไลจาห์ วูด แล้วลงลายเซ็นว่า แดเนียล แรดคลิฟฟ์’ แล้วหวังว่าจะมีใครสักคนแปลให้เขาฟังในภายหลัง”
วูด: “ผมได้รับคำชื่นชมสำหรับความกล้าหาญ ในการแสดงละครเวทีเรื่อง ‘Equus’ บ่อยมาก (หัวเราะ) มีอยู่หน… ผมเข้าไปในลิฟท์ที่แวนคูเวอร์ มีผู้ชายคนหนึ่งอยู่ข้างใน ผมรู้สึกว่าเขาจ้องผมแบบจริงจังมาก ก่อนประตูลิฟท์จะเปิดเมื่อถึงชั้นล็อบบี เขาก็รวบรวมความกล้าสำเร็จ ชี้มาที่ผม แล้วบอกว่า ‘แฮร์รี พ็อตเตอร์’ ผมตอบ ‘ผิด!” แล้วก็เดินจากไป
แรดคลิฟฟ์: (หัวเราะ) “เรามีอะไรที่เชื่อมกันเยอะพอดู และหนังของเราก็เหมือนๆ กันในความคิดของผู้คน เวลามีใครบอกผมว่า ‘Lord of the Rings!’ ผมจะบอกเขาไปตรง ๆ ‘ไม่ใช่ อีกเรื่องหนึ่ง’”

@ 20 ปีผ่านไป คุณจะอธิบายความสัมพันธ์ส่วนบุคลที่มีต่อแฮร์รีและโฟรโดได้ยังไง?
วูด: “แดน ประสบการณ์ของคุณในเรื่องนี้มันเฉพาะตัวมาก ๆ พวกเราถ่ายหนังทั้งสามเรื่องในคราวเดียวกัน จากนั้นก็กลับไปนิว ซีแลนด์เพื่อถ่ายเพิ่มเติมสำหรับหนังแต่ละเรื่องที่ตามมา เพราะฉะนั้นระยะเวลาทั้งหมดก็คือราว ๆ 4 ปี แต่สำหรับคุณมันใช้เวลา 1 ทศวรรษ ถูกต้องไหม?”
แรดคลิฟฟ์: “ใช่… ตั้งแต่ผมอายุ 11 จน 21”
วูด: “นั่นคือช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลงเลยนะ! คุณเริ่มต้นตอนเป็นเด็ก แล้วก็จบลงตอนที่เป็นผู้ใหญ่”
แรดคลิฟฟ์: “คุณอายุเท่าไหร่ตอนที่เริ่มถ่ายทำ ‘The Lord of the Rings’?”
วูด: “18”
แรดคลิฟฟ์: “โอเค เยี่ยมไปเลย มันเลยรู้สึกเหมือนมีความแตกต่างระหว่าง… บางทีอาจจะเป็น โรงเรียนกับมหาวิทยาลัยเกิดขึ้น และตัวเองเป็นใครในช่วงเวลานั้น เวลาผมบอกใครๆ ว่า มันกินเวลาตั้งแต่อายุ 11 จนถึง 21 ทุกคนจะแบบ… ‘โอโห คุณไหวนะ?’ (หัวเราะ) ผมคงไม่พูดออกมายืดยาวว่าชีวิตวัยเด็กของผมเป็นเรื่องธรรมดา แต่มันสนุกแล้วก็น่ารักนะ ผมเป็นคนในครอบครัวชนชั้นกลางของอังกฤษที่มีฐานะ เรียนในโรงเรียนที่เต็มไปด้วยเด็ก ๆ ในระดับเดียวกัน แล้วก็ไปอยู่ในกองถ่ายที่เต็มไปด้วยผู้คนที่ปูมหลังแตกต่างกันสุดๆ ซึ่งทำให้มุมมองที่มีต่อโลกของผมกว้างมากขึ้น เราได้รับการปกป้องเป็นอย่างดีจากเวลาที่หมดไปกับการทำงาน ซึ่งทำให้มีเวลาน้อยมากที่จะรู้สึกถึงผลกระทบจากการมีชื่อเสียง แต่ก็มีช่องว่างเกิดขึ้นตอนที่ผมกลับไปเรียนอีกเทอม ผมโคตรเกลียดช่วงเวลานั้นเลย แทบจะรอเวลากลับไปเข้ากองถ่ายไม่ไหว ตอนคุณเริ่มทำงานแสดง คุณอายุเท่าไหร่?”
วูด: “ผมเริ่มทำงานแสดงตอนอายุ 8 ขวบนะ เพราะฉะนั้นผมเลยเข้าใจประสบการณ์ที่คุณเจอทั้งหมด”
แรดคลิฟฟ์: “สำหรับคำตอบของคำถาม… มันยากที่จะแยกความสัมพันธ์ของผมกับแฮร์รี จากความสัมพันธ์ของผมกับหนังทั้งหมด ผมรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณประสบการณ์เหล่านั้น มันทำให้ผมได้รู้ว่า ผมอยากทำอะไรกับชีวิตที่เหลืออยู่ การได้รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่คุณรักตั้งแต่เนิ่นๆ เป็นเรื่องโชคดีมากๆ การแสดงของผมในบางครั้งอย่างที่เห็น ทำให้ผมรู้สึกตะขิดตะขวงใจอยู่เหมือนกัน (หัวเราะ) แต่ก็นะ มันก็เหมือนการถามว่า ‘รู้สึกยังไงบ้างกับชีวิตในช่วงวัยรุ่น?’ ซึ่งมันมีอะไรเกิดขึ้นเยอะมาก และแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะแยกออกมาเพียงความรู้สึกเดียว”
วูด: “ผมเห็นด้วย เวลาที่ผมนึกถึง ‘Lord of the Rings’ ผมจะคิดถึงการใช้ชีวิตในนิว ซีแลนด์ ผมคิดถึงเพื่อนๆ ผมคิดถึงชีวิตที่ผมมีจากการทำงานในตอนนั้น แล้วก็กระบวนการต่างๆ ของมัน รวมถึงการได้เดินทางไปทั่วประเทศ สถานที่แปลก ๆ ที่เราได้ไปใช้ชีวิต และโฟรโดก็คือ สัญลักษณ์สำหรับประสบการณ์ในตอนนั้น”


@ ชีวิตการทำงานที่อยู่ภายใต้เงาของยักษ์ใหญ่ทั้งสองตัว สำหรับพวกคุณเป็นยังไงบ้าง?
แรดคลิฟฟ์: “ที่จริงแล้ว ผมพบว่า การได้ทำอะไรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่คุณทำได้ในชีวิตซะตั้งแต่ตอนแรก ๆ มันทำให้โคตรมีอิสระมาก ๆ ความสำเร็จทางธุรกิจเหรอ มันจบไปแล้ว เพราะฉะนั้นมาทำสิ่งที่ทำให้คุณมีความสุขดีกว่า และผมก็รู้สึกถึงความรู้สึกนั้นจากการทำงานของคุณด้วยนะเอไลจาห์ อย่าง ผู้กำกับทุกคนอาจจะ… ‘ฉันเห็นเขาเป็นแค่แฮร์รี พ็อตเตอร์’ แต่จะมีอย่างน้อยคนหนึ่ง ที่บอกว่า ‘ฉันสงสัยจังว่า เขาจะทำอะไรบ้า ๆ บอ ๆ ได้ไหม?’ และผมก็ทำ!” (หัวเราะ)
วูด: “ใช่ ผมคงต้องพูดคล้าย ๆ กัน ถ้าคุณไม่บอกออกมาก่อน การทำงานของคุณมันเฟียซมาก คุณเลือกงานได้โคตรมันส์”

@ พวกคุณพอจำได้ไหมว่า ตัวเองรู้สึกยังไง ตอนที่จะเริ่มเดินทางไกลไปกับหนังทั้งสองเรื่องนี้?
วูด: “ผมกลัวความยิ่งใหญ่ของมัน แล้วก็มีความรู้สึก… ซึ่งไม่เกี่ยวเลยว่าสิ่งที่คุณทำมันจะประสบความสำเร็จขนาดไหน แต่เป็นเรื่องการออกเดินทางร่วมกัน ‘ผมกำลังจะไปนิว ซีแลนด์ และใช้ชีวิตที่นั่นเป็นปี ในฐานะของผู้ใหญ่’ ก่อนหน้านั้น ผมไม่เคยใช้ชีวิตด้วยตัวเองเลย ไม่เคยออกนอกประเทศ สำหรับคุณ แดเนียล ตอนเซ็นสัญญา คุณรู้ไหมว่าหนังสือมันมีกี่เล่ม? คุณรู้สึกถึงเวลาที่จะหมดไปกับการทำงานหรือเปล่า?”
แรดคลิฟฟ์: “ครั้งแรกเราเซ็นสัญญาเล่นแค่หนังสองภาคแรก ผมเคยทำงานให้กับบีบีซี (เรื่อง ‘David Copperfield’) มาแล้ว และก็เคยเล่นหนังอีกเรื่อง (‘The Tailor of Panama’) ผมคิดว่า บางทีพ่อเป็นคนที่อ่านหนังสือสองเล่มแรกให้ผมฟัง แต่ผมไม่ได้อ่านด้วยตัวเองแน่ ๆ เพราะฉะนั้นผมเลยไม่ได้อินไปกับมัน ผมคิดแค่… ‘เออ… เจ๋งดี ฉันกำลังจะได้เล่นหนังอีกเรื่อง’ เหมือนกับว่า มันก็เป็นงานอีกชิ้นหนึ่ง แต่กินเวลานานกว่าสองเรื่องก่อนหน้า ความรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังก้าวไปทำอะไรที่ยิ่งใหญ่ไม่เคยอยู่ในหัวผมเลย ความรู้สึกมันป็นเรื่องแบบ พอจบการทำงาน ก็คิดว่า ‘เออ… งานนี้สนุกดีนะ ฉันยังทำมันต่อได้อีกหรือเปล่า?’ มากกว่า ทุกปีแม่กับพ่อจะถามว่า ‘ลูกยังสนุกกับมันนะ? ลูกยังอยากไปต่อใช่ไหม?’ และผมก็บอกว่า ‘ใช่!’ ทุกๆ ปี”

@ จำได้ไหมว่าฉากไหนที่หนักหนาสาหัสเหลือเกิน?
แรดคลิฟฟ์: “อือม… สิ่งที่เกิดขึ้นกับ ‘Potter’ ก็คือว่า ในตอนนั้นผมมีประสบการณ์ในการทำงานภาพยนตร์แค่เรื่องเดียว สิ่งที่ต่าง ๆ ที่ดูบ้าคลั่งและจริงจัง เลยดูเป็นเรื่องธรรมดา เรามีการถ่ายฉากใต้น้ำในหนังเรื่องที่สี่ ซึ่งถ่ายกันมาแล้ว 6 สัปดาห์ และได้ภาพที่นำไปใช้ในหนังได้เฉลี่ยวันละแค่ 10 วินาที ผมต้องอยู่ใต้น้ำถึง 41 ชั่วโมง ตลอดการถ่ายทำ 6 สัปดาห์”
วูด: “คุณได้ไปเรียนดำน้ำด้วยหรือเปล่า?.
แรดคลิฟฟ์: “เรียน ๆ”
วูด: “เห็นไหม นั่นคือสิ่งที่คนมักไม่คิดถึงกันเวลาทำงานภาพยนตร์ คุณจะได้โอกาสเพี้ยน ๆ ที่ทำให้มีประสบการณ์บางอย่างในชีวิต ที่หากทำงานอย่างอื่น คุณไม่จำเป็นต้องมี ผมคิดถึงสิ่งที่ผมเคยทำได้แบบนับไม่ถ้วนเลยนะ อะไรที่เราได้ทำ มันเป็นเรื่องที่สนุกเอามาก ๆ”


@ เอไลจาห์ ช่วงเวลาที่แย่ที่สุดตอนถ่าย ‘Rings’ คือตอนไหน?
วูด: “ตอนกำลังอยู่ในช่วงแรกๆ ของการถ่ายทำ ‘Fellowship of the Rings’ ประมาณสามเดือนแรกของการถ่ายทำหลัก แต่แล้วก็มีพายุใหญ่เข้ามากวาดบางส่วนของฉาก ที่เตรียมไว้ในสถานที่ถ่ายทำ ทำให้เราต้องปักหลักอยู่ใต้ผ้าคลุมกันฝน แล้วก็มีฉากหนึ่งจากหนังเรื่องที่สาม ซึ่งเป็นการเดินทางเข้าไปในซิริธ อันกอล ที่มีโฟรโด, แซม แล้วก็กอลลัม ซึ่งโฟรโดไม่ใช่โฟรโดเหมือนที่เคยเป็นอีกต่อไปแล้ว เขาตกอยู่ใต้พลังแห่งแหวน และกำลังจะเจอการเปลี่ยนแปลง การทำงานของผมต้องปรับกระบวนการทางความคิด เรื่องสนุกของการทำงานฉากนี้ก็คือ เราไม่ต้องถ่ายให้เห็นผม เราถ่ายแค่ในส่วนของแซม และไม่ต้องถ่ายให้เห็นผมอยู่ร่วม ๆ ปี!”
แรดคลิฟฟ์: “ตอนคุณถ่ายทำหนังสามเรื่องพร้อมกัน คุณถ่ายหนังเรื่องที่หนึ่ง, จากนั้นก็เป็นหนังเรื่องที่สาม แล้วก็เรื่องที่สาม หรือว่ากระโดดไปมา?”
วูด: “กระโดดไปมา”
แรดคลิฟฟ์: “โอ… นั่นบ้าบอคอแตกมากๆ!”
วูด: “ใช่ มันพิลึกเลยละ หลังจากสามเดือนแรก มันก็ขึ้นอยู่กับสถานที่ถ่ายทำละ แล้วก็ขึ้นอยู่กับนักแสดงว่าใครมีคิวให้บ้าง แต่เรามีกองถ่ายสี่กองถ่ายทำไปพร้อม ๆ กันกับกองถ่ายหลัก ฉากรบที่เฮล์มส์ ดีพทั้งหมดถ่ายกันในตอนกลางคืนรวมสองเดือน โดยกองถ่ายที่สอง”
แรดคลิฟฟ์: “ว้าว! พวกเขาคงเหมือนกับทหารที่เพิ่งผ่านสงคราม หลังจากถ่ายทำเสร็จ”
วูด: “ใช่เลย นั่นคือประสบการณ์ที่ผมไม่เคยมีมาก่อน! แต่สำหรับวิกโก (มอร์เทนเซน), สำหรับออร์แลนโด (บลูม) สำหรับเพื่อน ๆ ทุกคนที่อยู่ที่นั่น มันคือประสบการณ์สำคัญที่เรามีร่วมกัน การลุกมาแสดงความบ้าคลั่งในตอนตีสี่ ท่ามกลางความหนาวเย็น ท่ามกลางสายฝน”
แรดคลิฟฟ์: “มันดุเดือดจริง ๆ เราไม่เคยทำอะไรแบบนั้นเลย!”

@ คุณจำตอนที่ได้ดูหนังของแต่ละคนเป็นครั้งแรกได้ไหม ‘Fellowship’ สำหรับแดน และ ‘Philosopher’s Stone’ สำหรับ เอไลจาห์?
แรดคลิฟฟ์: “ผมรู้สึกว่า พวกเขาน่าจะจัดฉายหนังให้ใครบางคนในกลุ่มนักแสดงของเราชม พวกเราเลยดูมันแบบซื่อ ๆ ตรง ๆ ปฏิกริยาของผมในตอนนั้นซึ่งอายุ 12 ขวบ ก็คือ ‘เจ๋งจัง’”
วูด: “ผมจำตอนไปดู ‘Harry Potter’ กับครอบครัวได้ ตอนนั้นผมอยู่ที่บ้าน เราอยู่ในระหว่างทัวร์โปรโมทหนังภาคแรก แล้วผมคงได้ดู… น่าจะเป็นช่วงคริสต์มาสแล้ว ผมชอบมันนะ”
แรดคลิฟฟ์: “ขอถามแทรกนะ… ผมเพิ่งนึกขึ้นมาได้ แล้วก็ขอโทษด้วยถ้าทำให้บรรยากาศในการพูดคุยแย่ลง แต่หนังสองเรื่องนี้ออกฉายหลังเหตุการณ์ 9/11 เอไลจาห์ มันมีผลต่อการทำประชาสัมพันธ์ของคุณไหม? ในฐานะเด็ก ๆ เราไม่รู้มากนักว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ผมจำได้ว่าพวกเขาพาเราบินไปในที่ต่าง ๆ ด้วยเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว แล้วพวกเราก็ ‘ว้าว! เราได้ขึ้นเครื่องบินส่วนตัวด้วย’”
วูด: “เรามีการจัดงานแถลงข่าวในนิว ยอร์ก เดือนกันยายน 2001 ทีมนักแสดง ที่มีออร์แลนโด, ฌอน บีน แล้วก็ผม ไปดูคอนเสิร์ตของ Jamiroquai ที่แฮมเมอร์สไตน์ บอลล์รูม จากนั้นก็กลับมาที่โรงแรม นอนหลับสัก 2-3 ชั่วโมงแล้วก็ตื่น เดินทางไปที่สนามบินนีวอร์ค แอร์พอร์ต เพื่อกลับไปลอส แองเจลีส เครื่องบินพุ่งเข้าชนตึกขณะที่เราอยู่บนอากาศแล้ว เรามองไปที่นอกหน้าต่าง เห็นมีไฟลุกไหม้ที่ตึกหลังหนึ่ง แล้วนักบินก็ประกาศว่า มีเครื่องบินถูกจี้โดยผู้ก่อการร้าย และทางองค์กรบริหารการบินแห่งชาติของสหรัฐอเมริกาขอให้เครื่องบินทุกลำลงจอด เครื่องเราลงที่ซินซินเนติ ผมต้องอยู่ที่นั่นราว ๆ 1 สัปดาห์ ก่อนที่จะสามารถขึ้นบินได้อีกครั้ง ใช่… ผมมีประสบการณ์ตรงกับเรื่องนี้ มันเป็นเรื่องที่ฟังดูเหลือเชื่อ และน่ากลัว”
แรดคลิฟฟ์: “มันเป็นเรื่องที่บ้าคลั่งมาก”
วูด: “คิดแล้วมันก็กลายเป็นเรื่องที่น่าสนุก เพราะผมไม่คิดเลยว่าเหตุการณ์นี้มีความเกี่ยวพันกับการออกฉายของหนังเรื่องแรก สำหรับพวกเราทั้งสองคน แต่พวกเขาเอามันมาเชื่อมโยงกัน เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกในปีนั้น”

@ และหนังทั้งสองเรื่อง ต่างก็เป็นหนังที่คนมากมายอยากดูในตอนนั้น
วูด: “มันคือเรื่องความดีต่อสู้กับความเลว นั่นคือสาเหตุที่ทำให้เรื่องราวของมันยังเข้าถึงผู้คน เช่นเดียวกับตอนที่ออกฉายครั้งแรก มันมีตัวละครที่เราเข้าถึงได้ การเอาชนะอุปสรรคและความชั่วร้าย มันเป็นเรื่องที่เป็นสากล”
แรดคลิฟฟ์: “ผมคิดด้วยว่ามีบางสิ่งที่เกี่ยวข้องสิ่งที่ห่อหุ้มโลกเอาไว้ และสิ่งเหล่านั้นมีความแข็งแกร่งเพียงใด ซึ่งบางทีผมคิดว่ามันน่าจะเป็นสิ่งที่ ‘The Lord of the Rings’ ทำให้รู้สึกได้มากกว่า เพราะว่าโลกของเราไม่ได้มีอยู่ในหนังเรื่องนั้น ซึ่งตรงกันข้ามกับ ‘Harry Potter’ ที่มันเทียบเคียงกันได้เลย เพื่อนของผมคนหนึ่งชื่อเดวิด โฮล์มส์ เขาเป็นนักแสดงแทนให้ผมใน ‘Potter’ ขณะที่เขากำลังทดสอบฉากเสี่ยงๆ ตอนต้นของหนังเรื่องที่ 7 ก็เกิดอุบัติเหตุเลวร้ายกับเขาจนกลายเป็นอัมพาต ต้องเข้าผ่าตัดซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่เดือนเต็ม ๆ สิ่งที่ทำให้เขาลุกขึ้นมาได้ก็คือ ‘The Lord of the Rings’ มันช่วยให้เขาผ่านช่วงเวลาที่เลวร้ายมาก ๆ ในชีวิตได้ และผมก็รู้ว่า ‘Potter’ ไม่ต่างกันสำหรับบางคน เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ที่ได้เกี่ยวพันกับบางสิ่งที่มีความหมายสำหรับผู้คน”
วูด: “นั่นคือหนึ่งในหลาย ๆ แง่มุมที่ผมชื่นชอบจากการได้เป็นส่วนหนึ่งของ ‘Rings’ ผมได้ยินเรื่องราวความสัมพันธ์ของผู้คนอย่างต่อเนื่อง หลายคนได้เจอกับเพื่อนแท้ หลายคนที่ในตอนท้ายลงเอยด้วยการแต่งงานกัน เรื่องหนึ่งที่แว่บเข้ามาในความคิดของผมก็คือ ผมไปเจอคนๆ หนึ่งที่ก่อนหน้านี้เป็นพวกติดยา และมีบางอย่างที่ต่อกันติดกับตัวละครกอลลัม ซึ่งช่วยให้เขาผ่านการติดยามาได้ มันเป็นเรื่องสวยงามที่เกิดขึ้นในชีวิต ในแบบที่อยู่เหนือจากความคิดของคนที่สร้างมันขึ้นมา”


@ พูดถึงสิ่งที่มีความต่อเนื่อง แอมะซอนกำลังสร้าง ‘The Lord of the Rings’ และจักรวาลของ ‘Potter’ ก็ถูกสานต่อในละคร ‘Cursed Child’ และหนัง ‘Fantastic Beast’
วูด: “ผมพบว่ามันแปลก ๆ นะ กับการที่พวกเขาเรียกมันว่า ‘Lord of the Rings’ แบบเอาง่ายเข้าว่า เพราะมันไม่ใช่ ‘The Lord of the Rings’! มันเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในยุคที่สองของมัชฌิมโลก ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นเวลาหลายพันปีก่อนที่เรื่องราวของเราเกิดขึ้น แต่เจ.เอ. บาโยนา ผู้กำกับชาวสเปนที่แสนมหัศจรรย์ กำลังถ่ายหนัง 2-3 ตอนแรก และพวกเขาก็ถ่ายทำกันในนิว ซีแลนด์ ซึ่งเป็นเรื่องที่เยี่ยม เพราะอย่างน้อยมันก็มีความต่อเนื่องทางด้านภาพ มันคงออกมาน่าสนใจ”
แรดคลิฟฟ์: “สำหรับ ‘Harry Potter’ โลกยังคงแผ่ขยายออกไป มันเยี่ยมมาก ๆ ที่ผู้คนชื่นชอบโลกใบนั้น นี่ไม่ใช่การเยินยออะไรมากมาย แต่ผมยังไม่ได้ชมอะไรเลยนะ ผมไม่คิดว่าตัวเองจะกลับไปหาเรื่องราวของ ‘Potter’ ในเร็ววันนี้
วูด: “ผมก็ไม่คิดว่าผมจะทำแบบนั้นด้วยเหมือนกัน”
แรดคลิฟฟ์: “แต่ผมมีความสุขนะ กับการที่เห็นคนอื่น ๆ ได้เดินหน้าต่อไปกับมัน!”

โดย ฉัตรเกล้า จากเรื่อง เมื่อแฮร์รี พ็อตเตอร์นั่งโต๊ะคุยกับโฟรโด แบ็กกินส์ คอลัมน์ SPECIAL INTERVIEW นิตยสารเอนเตอร์เทน ฉบับที่ 1234 ปักษ์หลังมีนาคม 2564

เป็นกำลังใจให้ www.facebook.com/Sadaos ด้วยการสนับสนุนทางการเงิน ได้ที่บัญชีธนาคารกสิกรไทย หมายเลข 100-2-10283-4 แล้วส่งสลิปการโอนมาที่ shopsadaos@gmail.com เพื่อรับของขวัญแทนคำขอบคุณให้ผู้สนับสนุนที่โชคดีเป็นประจำทุกเดือน

ติดตามอ่านเรื่องราว ข่าวสาร ชมตัวอย่าง ชมคลิป ชม MV อ่านวิจารณ์หนังและเพลง ได้ด้วยการกดไลค์เพจสะเด่าส์ ได้ที่นี่

What is your reaction?

Excited
0
Happy
0
In Love
0
Not Sure
0
Silly
0
Sadaos
พบข่าวสารจากวงการหนัง-เพลง ภาพสวยของดาราสาว, วิจารณ์-แนะนำ งานเพลง, ภาพยนตร์ และรับสั่งซื้อ CD/ DVD ทั้งในและต่างประเทศ. Sadaos Is entertainment news page and online shop for people who love movie and music. We sell many entertainment items like used and new DVD, CD, postcards, accessory, souvenirs.

You may also like

Comments are closed.