THE TWILIGHT SAGA: BREAKING DAWN PART 1 – THE SCORE / Music By Carter Burwell
[Summit Entertainment/ Warner Music]
เป็นงานที่ดูเข้าร่อง เข้ารอยมากกว่าหนัง 3 ภาคก่อนหน้า เมื่อเรื่องราวมีเป้าหมายชัดเจนว่าจะเล่า จะนำเสนออะไร ไม่ใช่เต็มไปด้วยส่วนเล็ก ส่วนน้อยมากมายที่มาปะจนเต็มไปหมด แล้วก็พาลไม่รู้ว่าที่สุดแล้วหนังต้องการให้น้ำหนักกับอะไรมากที่สุด
ใน The Twilight Saga: Breaking Dawn – Part 1 เรื่องราวถูกเล่าเป็นเส้นตรงต่อเนื่อง เริ่มจากการแต่งงานของเบลล่ากับเอ็ดเวิร์ด แล้วก็เป็นการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ของทั้งคู่ ก่อนที่เบลล่าจะท้อง ซึ่งลูกในครรภ์ก็มีลักษณะบางอย่างที่อาจจะทำให้เกิดอันตรายกับตัวเธอได้ และหากเธอเป็นอะไรไป เหล่าผีดูดเลือดตระกูลคัลเลนก็จะเป็นฝ่ายผิดสัญญากับมนุษย์หมาป่า ซึ่งทำให้เจค็อบต้องมาออกโรงปกป้องคนที่ตัวเองรัก
หนังมีเรื่องราวความรักเป็นศูนย์กลางของเรื่องชัดเจน และนั่นก็ทำให้งานดนตรีประกอบของหนังในตอนนี้ฟังนุ่มนวลขึ้น โดยที่มีบทบาทมากพอๆ กับเพลงประกอบ ไม่ใช่ข่มกันมิดอย่างที่เคยเป็นในงานภาค3 และก็เป็นอีกครั้งที่มีการเปลี่ยนตัวคนทำงาน เมื่อหนังกลับไปใช้คาร์เตอร์ เบอร์เวลล์ที่เคยทำสกอร์ให้หนังภาคแรก หลังจากใน New Moon และ Eclipse เป็นฝีมือของ อเล็กซานเดอร์ เดสพลาท์ และโฮเวิร์ด ชอร์ ตามลำดับ
และการกลับมาของเบอร์เวลล์ คอมโพเซอร์เจ้าประจำของพี่น้องโคเอน ก็ให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าหนแรกเยอะ ไม่ว่าจะเป็นบทบาทของดนตรีประกอบที่ถูกใช้งานอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ที่สำคัญงานของเบอร์เวลล์มีลักษณะที่เข้ากันได้กับหนัง The Twilight Saga มากกว่าทั้งเดสพลาท์และชอร์ เพราะขณะที่รายแรกดนตรีจะค่อนข้างนุ่มนวลไปนิด ชอร์ก็มีความเป็นสกอร์คลาสสิคมากเกินไป
เห็นได้ชัดจากหลายๆ ธีมใน The Twilight Saga: Breaking Dawn – Part 1 ที่เบอร์เวลล์กล้าจะทำออกมาในแบบของงานป็อป หรือร็อค สกอร์ เช่นใน A Nova Vida ที่เป็นงานบรรเลงกีตาร์เพราะๆ นุ่มนวล ฟังสดใส ไม่ต่างไปจากงานเพลงบรรเลงแบบอีซีลิสนิงของค่ายเพลงวินด์เแฮม มิลล์ ขณะที่ O Negative ก็ฟังเศร้า หม่น อารมณ์ใกล้เคียงกับงานร็อคสกอร์ ที่เด่นด้วยเสียงเครื่องเคาะให้ความรู้สึกลุ้น ระทึกใจ รวมไปถึงใช้งานเครื่องดนตรีที่อยู่นอกเหนือกลุ่มของงานออเคสตร้า หรืออะคูสติคอย่างพวกเครื่องดนตรีอิเล้กทรอนิกส์ทั้งหลาบ
ถึงจะให้น้ำหนักกับเรื่องราวความรัก อารมณ์ในเชิงดราม่าเป็นพิเศษ เบอร์เวลล์ก็ยังไม่ทิ้งโทนดนตรีที่ให้ความรู้สึกทึมๆ ในทางมืดๆ การเรียบเรียงดนตรีแม้จะฟังดูเนิบนาบ เรียบเอื่อย หากก็ยังให้ความรู้ไม่น่าไว้วางใจ หรือผ่อนคลายเต็มที่นัก เหมือนที่ได้ยินใน Pregnant ตัวดนตรีอาจจะฟังนุ่มนวล มีเสียงเสียงเปียโนเป็นความโดดเด่น แต่ก็มีการทอดจังหวะเล่นลีลา ที่แสดงถึงความไม่แน่นอนให้รู้สึก ก่อนที่กลุ่มเครื่องสายและเครื่องเคาะจะมาจัดเต็มถึงความน่าพรั่นพรึง ใน Morte ที่มีการใช้ซินธิไซเซอร์ก็ให้อารมณ์คล้ายๆ กัน ส่วน Honeymoon in Eclipse แม้จะหวาน เพราะ แต่การที่ดนตรีบรรเลงแบบโหมเข้ามาในบางช่วง สลับกับการเล่นเปียโนแบบเคาะโน้ตสั้นๆ ก็ทำให้ธีมที่ดูอบอุ่น นุ่มนวลธีมนี้ ให้ความรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ ที่คาดเดาไม่ได้สำหรับตัวละครปรากฏขึ้นมา
ขณะที่บางธีมก็โดดไปเป็นงานสกอร์สำหรับหนังเขย่าขวัญแบบเต็มๆ เช่น It’s Renesmee หรือว่า What You See in the Mirror
เห็นได้ชัดว่า เบอร์เวลล์ใช้กีตาร์อะคูสติคกับเปียโน เป็นศูนย์กลางของการนำเสนองานที่อยู่ในส่วนของความโรแมนติก ขณะที่งานเครื่องเคาะ รวมไปถึงซินธิไซเซอร์ และเครื่องสายที่ให่้เสียงทุ้มต่ำ คืองานที่เป็นโทนมืดของเรื่องราว เป็นดนตรีที่ให้ความรู้สึกแบบเดียวกับงานกอธิค ซึ่งธีมอย่าง A Wolf Stands Up เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของธีมในทางนี้ ที่น่าสังเกตุก็คือ นอกจากจะใช้เร้าอารมณ์ระทึก ตื่นเต้นแล้ว เสียงเครื่องเคาะ โดยเฉพาะกลองไทโกะ ก็เป็นสัญลักษณ์แทนการมีอยู่ของพวกมนุษย์หมาป่าไปพร้อมๆ กัน
เบอร์เวลล์ยังใช้ Bella’s Lullaby เป็นธีมหลักสำหรับการบอกเล่าเรื่องราวของเบลล่า และเอ็ดเวิร์ด ผ่านเสียงดนตรี และทำให้งานสกอร์สามารถสอดรับกับสิ่งที่เริ่มต้นเอาไว้ตั้งแต่แรกได้อย่างกลมกลืน
เข้าใจว่าเบอร์เวลล์น่าทำงานจะลากยาวไปจนถึงภาคสุดท้ายของหนัง และทำให้เขากลายเป็นคอมโพเซอร์ที่ทำหน้าที่เปิดและปิดงานดนตรีประกอบของหนังเรื่องนี้
ที่สำคัญที่สุด ก็คือ ไม่น่าเชื่อว่า กับหนังที่บท การนำเสนอเรื่องราว การแสดงแทบไม่มีอันใดให้ชื่นชม เพลงหรือดนตรีประกอบของหนังก็ยังเป็นงานในส่วนที่แข็งแรงที่สุดเสมอมา
จากคอลัมน์ สะกิดร่องเสียง โดย นพปฎล พลศิลป์ นิตยสารเอนเตอร์เทน ฉบับที่ 1104 วันที่ 16 มกราคม 2555