“ผมไม่ได้รับข้อเสนอจากสตูดิโอมากนักหรอก” คีอานู รีฟส์ บอกในการให้สัมภาษณ์ “มันแย่ แต่มันก็คือสิ่งที่เป็นไป” ฟังแล้วอาจจะเหมือนเป็นคำพูดที่ยากจะเข้าใจเมื่อ 20 ปีก่อน วันนี้หนังเรื่องใหม่ของรีฟส์ John Wick นักแสดงที่หันกลับไปเล่นหนังแอ็คชันขายสไตล์อีกครั้งเพื่งเปิดตัว และครั้งหนึ่งเขาคือหนึ่งในดาราแอ็คชันที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด ซึ่งต้องขอบคุณผลงานหนัง 3 เรื่อง Point Break (1991), Speed (1994) และ The Matrix (1999)
รีฟส์ไม่ได้มีหนังทำเงินในระดับร้อยล้านเหรียญในอเมริกา นับตั้งแต่ปี 2003 ซึ่งในปีนั้นมีหนังภาคต่อของ The Matrix และ Something’s Gotta Give เป็นความสำเร็จในระดับนั้น งานจากสตูดิโอชิ้นล่าสุดของเขา ก่อนหน้า John Wick ก็คือ หนังทุนสูง ที่ล่าช้ามานานหลายปี และคว่ำสนิท 47 Ronin เวลาของการเป็นดาราดวงเด่นของรีฟส์ หมดไปแล้วใช่ไหม? นั่นคือสิ่งที่หลายคนตั้งคำถาม
ในกรณีของอานู ไม่ใช่เรื่องที่ตอบได้ง่ายๆ เขาอาจจะเป็นดาราดวงเด่นในโลกภาพยนตร์ แต่เขาก็ไม่เคยดูมีความสุขไปกับชื่อเสียงเหมือนอย่างทอม ครูซ และเป็นคนที่ใฝ่รู้ในเรื่องที่หลากหลาย และกว้างขวาง เช่น การสร้างสิ่งต่างๆ ให้กับชีวิต อย่าง เป็นสมาชิกคนหนึ่งในวงดนตรี ไปจนถึงเขียนหนังสือสำหรับเด็กที่กำลังเติบโต Ode to Happiness จะว่าไปในช่วงเวลาหนึ่ง เขาก็คือ เจมส์ ฟรังโก ของยุคนั้น
รีฟส์อาจจะกังวลอยู่บ้างกับการขาดข้อเสนอจากสตูดิโอในทุกวันนี้ แต่นั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร จริงๆ แล้วตั้งแต่แจ้งเกิดในวงการด้วยหนังอินดีดรามา River’s Edge เมื่อปี 1986 เขาก็ไม่เคยไปสุงสิงกับกลุ่มนักแสดงวัยรุ่นที่ฟู่ฟ่ารุ่นเดียวกัน แบบพวก แบร็ท แพ็ค และเลือกที่จะไปรับบทในหนังโปรเจ็คท์เล็กๆ มากขึ้น อย่าง บทสมทบในหนังย้อนยุคที่เข้าชิงออสการ์ Dangerous Liaisons (1988) แทน
และเมื่อถึงในระดับหนึ่ง มันก็กลายเป็นรูปแบบในการทำงาน ที่รีฟส์เลือกเดิน หนัง Speed ในปี 1994 ประสบความสำเร็จมหาศาล ที่ส่งความรุ่งโรจน์ทางอาชีพมาให้กับเขา แต่เขาเลือกที่จะปัดข้อเสนอของหนังภาคต่อ และหันไปเล่นหนังอินดีเล็กๆ The Last Time I Committed Suicide เมื่อปี 1997 แทน และเมื่อ The Matrix ออกฉายในปี 1999 และประสบความสำเร็จยิ่งกว่า เขากลับสานต่อด้วยงานเล็กๆ ของแซม ไรมี The Gift ในปี 2000 ซึ่งบทของเขาเป็นเพียงบทเล็กๆ แต่กลักลายเป็นหนึ่งในการแสดงที่ดีที่สุดของเขา จากนั้นก็เป็น Thumbsucker หนังอินดีอีกเรื่องในปี 2005 และ A Scanner Darkly ในปี 2006 ซึ่งปีก่อนหน้า รีฟส์เพิ่งมีงานอย่าง หนัง The Matrix ภาคต่อ และหนังจากการ์ตูนภาพ ที่ประสบความสำเร็จใช้ได้ Constantine ในปี 2005
จากสารพัดงานต่างๆ หลากหลายที่ทำ จากการเก็บตัวเงียบไปจากวงการ อารมณ์ที่ดูห่างเหินในการให้สัมภาษณ์ กระทั่งจาก การเลียนแบบความเศร้าของคีอานู (Sad Keanu meme) เป็นเรื่องง่ายๆ ที่จะรู้สึกประทับใจกับการเป็นดาราที่ไม่มีความสุขกับการมีชื่อเสียง กระทั่งในยามที่ผู้คนอยากชมหนังบิ๊กๆ จากเขา แต่อย่าลืมว่า ในอีกมุมหนึ่ง เขาไม่ใช่นักแสดงที่สามารถเรียกคนดูได้โดยอัตโนมัติ นอกจาก Speed หรือ The Matrix เรายังมี Johnny Mnemonic (1995), Chain Reaction (1996) หรือ Street Kings (2008) หนังแอ็คชันตลาดๆ ที่นิ่งสนิทในอันดับหนังทำเงิน แต่เขาก็ยังขายได้อย่างมั่นคงในตลาดนอกอเมริกา กระทั่ง 47 Ronin ยังทำรายได้ในตลาดต่างประเทศมากกว่าในอเมริกาถึง 3 เท่า
การได้ยินเขาพูดออกมาอย่างนั้น ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะยังไม่สัมฤทธิ์ในสิ่งที่ปรารถนา และได้ยินเขายืนยันด้วยตัวเองถึงโปรเจ็คท์ต่างๆ ที่กำลังมาถึง ไม่ว่าจะเป็นงานอินดี หรือที่น่าสนใจยิ่งกว่า อย่าง งานโทรทัศน์ หนังมือปืนเรื่อง Rain ที่เขารับเล่นเรียบร้อย เห็นได้ชัดว่า สตูดิโอยังไม่ทิ้งเขาไปเลยซะทีเดียว และยังมีข่าวที่ว่า เขาเป็นหนึ่งใน 4 ตัวเลือกของมาร์เวลในหนัง Doctor Strange ที่มีคู่แข่งคือ โคลิน ฟาร์เรลล์, เบเนดิคท์ คัมเบอร์แบทช์ และ วาควิน ฟีนิกซ์ ไม่ว่าการให้ความสนใจของมาร์เวลจะเป็นเรื่องจริงจังหรือไม่ แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องคำนึงถึงก็คือ ด้วยวัย 50 ปี จะทำให้เขากลายเป็นตัวละครนำของมาร์เวลที่อายุมากที่สุด และบางทีเขาก็ราวกับหลุดออกมาจากโลกของหนังสือการ์ตูนจนเกินไป
แต่การที่ John Wick ได้รับคำวิจารณ์ที่ดี สำหรับหนังเมนสตรีมของรีฟส์นับตั้งแต่ The Matrix และสัญญาเล่นหนังชุด Bill & Ted ตอนใหม่ที่ยังคาราคาซังอยู่ รวมไปถึงข่าวดีๆ ต่างๆ ที่ว่ามาข้างต้น น่าจะทำให้รู้สึกได้ว่า ยุคฟื้นฟูของรีฟส์ กำลังจะมาถึงในไม่ช้า
แปล/ เรียบเรียงจาก www.yahoo.com/movies