ตั้งแต่ภาคแรกในไตรภาคที่สอง ‘Jurassic World’ เห็นได้ชัดว่า นอกจากตัวละครใหม่ ๆ และบรรดาไดโนเสาร์ใหม่ ๆ รวมถึงรายละเอียดที่ผิดแผกจากกันไปบ้างแล้ว โครงสร้างโดยรวม ๆ ของหนังไม่ต่างไปจากไตรภาคต้นฉบับ สร้างสวนสนุก มนุษย์พยายามจะทำตัวเป็นพระเจ้า หรือหาทางทำให้ตัวเองได้ประโยชน์จากการละเมิดกฎธรรมชาติ แล้วทุกอย่างก็พังครืนลงมา ซึ่งเป็นการตอกย้ำว่า ไม่มีอะไรที่ยิ่งใหญ่ไปกว่าธรรมชาติ แต่หนังก็พยายามพัฒนาตัวเอง ด้วยการนำเสนอเรื่องของการเป็นจุดยอดสุดบนห่วงโซ่อาหารของมนุษย์ เรื่องของการอยู่ร่วมกันกับธรรมชาติ ใส่เข้ามา
โดยที่ฉาบหน้าเอาไว้ ก็คือเรื่องราวการผจญภัย ที่เต็มไปด้วยการหนีตายของตัวละครจากการไล่ล่าของเหล่าไดโนเสาร์ หนักหนาไปด้วยสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน จนต้องใช้สติปัญญาและร่างกายแก้ปัญหาเฉพาะหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า ให้ผู้ชมได้ลุ้นหรือระทึก ตามแต่รูปแบบของการนำเสนอ ว่าจะมาเป็นงานแอ็กชัน หรือว่าทางของงานสยองขวัญ
กับ ‘Jurassic World Dominion’ ก็ไม่แตกต่างไปจากหนังสองภาคแรกในชุดนี้
หนังสานต่อเรื่องราวจากภาคที่สอง ซึ่งเทียบได้กับการอัปเกรด ‘Jurassic Park: The Lost World’ ที่เป็นการพาไดโนเสาร์เข้าเมือง จนเกิดเหตุวุ่นวายครั้งใหญ่ทำให้ไดโนเสาร์กลายเป็นส่วนหนึ่งของโลกในยุคปัจจุบัน นำไปสู่ปัญหามากมายตามมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการค้าสัตว์ในตลาดมืด การนำสัตว์เหล่านี้มาทำให้เกิดกิจกรรมเพื่อความบันเทิง ขณะเดียวกันในกลุ่มของบริษัทอุตสาหกรรม ก็มองไปไกลกว่านั้นถึงเรื่องของการใช้ประโยชน์จากดีเอ็นเอในตัวไดโนเสาร์เหล่านี้ เพื่อนำมาสร้างผลประโยชน์ในระยะยาวให้กับตัวเอง
หนังไม่ใช่ได้แค่โคลิน โทรเวอร์โรว์ ผู้กำกับภาคแรกกลับมา แต่ยังขนนักแสดงหลัก ๆ จากหนังภาคแรกต้นฉบับกลับมาด้วย ไม่ว่าจะเป็น แซม นีล, ลอรา เดิร์น หรือเจฟฟ์ โกลด์บลัม ซึ่งไม่ต่างไปจากการขายอดีต แบบเดียวกับที่ ‘Top Gun: Maverick’ เพิ่งขายไปหมาด ๆ ที่ด้วยท่วงท่าอันคุ้นตาจากหนังไตรภาคชุดแรก ไม่ว่าจะเป็นการโบกคบเพลิงล่อไดโนเสาร์ของเอียน มัลคอล์ม (โกลด์บลัม), ความรักในหมวกปีกของอลัน แกรนต์ (นีล) หรือท่าถอดแว่นของเอลลี แซตต์เลอร์ (เดิร์น) ก็น่าจะทำให้ผู้ชมที่ตามกันมาตั้งแต่หนังต้นทางปลื้มปริ่ม
แล้วก็อัดฉากแอ็กชัน สถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน ให้ตัวละครเข้ามาแก้ปัญหาอย่างต่อเนื่อง ที่ในแง่ของความบันเทิงก็ถือว่าได้อยู่ เมื่อมีอะไรให้ลุ้น (?) เป็นระยะ และมีความหลากหลายของสถานการณ์ ที่มีทั้งที่น่าจะเป็นความตื่นเต้นแบบหนังแอ็กชัน หรือระทึกแบบหนังสยองขวัญ แต่เอาเข้าจริง ๆ บรรดาตัวละครเหล่านี้ก็เอาตัวเองรอดจากเหตุการณ์ต่าง ๆ ไปได้แบบง่าย ๆ ในแบบที่ไม่ต้องลุ้นอะไรด้วยซ้ำ จนไม่ได้รู้สึกตื่นเต้น หรือระทึกไปกับสิ่งที่พวกเขาเผชิญหน้าอยู่
แถมบางฉาก ก็อดขำไม่ได้ อย่างฉากแร็ปเตอร์ไล่ล่าโอเวน เกรดี (คริส แพร็ตต์) ที่อยู่หลังแฮนด์มอเตอร์ไซค์ ดู ๆ ไปก็ทำให้นึกถึงฉากในหนัง ‘Mission: Impossible’ ขึ้นมา
นอกจากทางออกของตัวละคร ที่หาเจอกันง่าย ๆ หรือไม่ก็เปิดออกให้เองแล้ว หนังยังเต็มไปด้วยรูรั่วของบทมหาศาล ตัวละครก็ขึ้นจอกันแบน ๆ ไม่ได้มีมิติอะไรที่ลึกนัก ส่วนหนึ่งก็คือ หนังไม่มีเวลาให้กับการสร้างลักษณะตัวละครและความสัมพันธ์สักเท่าไหร่ ทั้งที่มีหลาย ๆ ประเด็นที่เปิดเอาไว้ ทั้งจากความสัมพันธ์แบบพ่อ-แม่-ลูกของเกรดี, แคลร์ เดียริง (ไบรซ์ ดัลลัส โฮเวิร์ด) กับเมซี ล็อกวูด (อิซาเบลลา เซอร์มอน) เด็กโคลนที่ทั้งคู่นำมาดูแล รวมถึงความผูกพันของเมซีกับผู้ให้กำเนิดแท้ ๆ ชาร์ล็อตต์
ตัวร้าย ลิวอิส ด็อดจ์สัน (แคมป์เบลล์ สก็อตต์) ที่ภาพลักษณ์อย่างกับเคาะมาจากทิม คุก แม้จะดูฉลาดแต่ก็พลาดแบบไม่ฉลาด รวมถึงขาดสติอยู่หลายครั้ง และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้หนังอ่อนยวบยาบ
ตัวละครหลาย ๆ ราย ไม่ใช่แค่ถูกใส่ หากถูกจับยัดมาเป็นตัวช่วยซะมากกว่า หากบางรายก็ถือว่ายังดีที่มีการเกริ่นบอกคร่าว ๆ เอาไว้ แต่บางรายก็ดูเหมือนจะไร้มูลเหตุไปหน่อย ประเด็นคม ๆ ที่เปิดเอาไว้ พอมาถึงตอนท้ายก็สรุปกันแบบง่าย ๆ ในสไตล์ นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ซึ่งปัญหาส่วนหนึ่งก็คือ หนังไม่ได้ลงลึกถึงสิ่งที่ตัวเองวางเอาไว้จริง ๆ จัง ๆ ทำให้ ‘Jurassic World Dominion’ ไม่ต่างไปจากงานในแบบรวมไฮไลต์ ที่ใส่ฉากไล่ล่า สถานการณ์ที่ (น่าจะ) ตื่นเต้นเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยที่ไม่ต้องไปนึกถึงความลึกของเรื่อง และความเข้มข้นของเนื้อหา จนหนังเหมือนกับการขึ้นรถไฟเหาะตีลังกาที่พอลงมาแล้วก็จบกัน ไม่ได้รู้สึกประทับใจ หรือได้อารมณ์ ได้บรรยากาศพิเศษในตอนท้าย
หากก็ต้องยอมรับว่า ในความบางเบาของเรื่อง ในความเป็นปุยนุ่มของตัวละคร ในความไร้น้ำหนักของเนื้อหา หนังมีจังหวะในการร้อยเรียงสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ดี มีอารมณ์ขัน โดยเฉพาะจากกลุ่มนักแสดงของหนังต้นฉบับ ที่เล่นเข้าขากันเป็นอย่างดี จนกลายเป็นสีสันของหนังภาคนี้ ที่หากจะพึ่งพาทีมดาราจากหนังชุดใหม่เพียวร์ ๆ หนังอาจจะจืดชืดกว่าที่เห็น จนไม่ใช่เป็นงานเพื่อความบันเทิงล้วน ๆ แบบไม่ต้องคิดมาก อะไรที่คาดหวังจะได้เห็นก็ได้เห็น สนุกแบบไม่ตื่นเต้น ลุ้นแบบเห็นหน้าไพ่ ก่อนที่จะปิดจบลงตรงที่มนุษย์และสรรพสิ่งทั้งหลาย ล้วนอาศัยอยู่ใน Lavender World
นพปฎล พลศิลป์
ให้กำลังใจและสนับสนุนเราได้ที่บัญชีธนาคารกสิกรไทย หมายเลข 100-2-10283-4 แล้วแจ้งมาที่กล่องข้อความของเพจ sadaos หรือที่อีเมล shopsadaos@gmail.com เพื่อรับของขวัญแทนน้ำใจ
ติดตามอ่านเรื่องราว ข่าวสาร ชมตัวอย่าง ชมคลิป ชม MV อ่านวิจารณ์หนังและเพลง ได้ด้วยการกดไลค์เพจสะเด่าส์ ได้ที่นี่