
วันนี้คือวันวางขายของสองอัลบัมตำนานของวงการเพลงยุค ‘90s และของโลก และเป็นวันสิ้นสุดคดีความระหว่างสมาชิกคนหนึ่งของวง Guns N’ Roses กับวงและผู้จัดการ
1991: Nirvana วางจำหน่ายอัลบัม ‘Nevermind’ ในสหรัฐอเมริกา โดยในสัปดาห์แรกงานชุดนี้เข้าชาร์ตบิลล์บอร์ด 200 ด้วยอันดับ 144 แล้วก็ไปขึ้นอันดับ 1 ในเดือนมกราคม 1992 และสามารถทำยอดขายได้ถึงกว่า 30 ล้านก็อปปีทั่วโลก ซึ่งในช่วงเวลานั้น อัลบัมชุดนี้ทำยอดขายได้ถึงราว ๆ 300,000 ก็อปปีต่อสัปดาห์
ภาพปกของอัลบัมเป็นภาพของเด็กทารกที่กำลังว่ายน้ำ ซึ่งกลายเป็นภาพปกระดับตำนานในเวลาต่อมา เป็นไอเดียของเคิร์ต โคเบน นักร้องนำ/ มือกีตาร์ของวง และเดฟ โกรห์ล ที่เข้ามาเป็นมือกลองให้กับเนอร์วานาครั้งแรกในอัลบัมชุดนี้ หลังทั้งคู่ได้ดูรายการสารคดีทางโทรทัศน์ เกี่ยวกับการสอนทารกให้ว่ายน้ำ
อัลบัม ‘Nevermind’ โปรดิวซ์โดยบุตช์ วิก สร้างเพลงฮิตเอาไว้มากมาย อาทิ “Smells Like Teen Spirit”, “Come as You Are”, “Lithium” และ “In Bloom” ในตอนที่ซิงเกิลแรก “Smells Like Teen Spirit” ถูกปล่อยออกมาได้ราว ๆ 2 สัปดาห์ และทำได้ดีกว่าที่หลาย ๆ คนคาดเอาไว้ ทำให้บรรดาคนในวงการมองว่า งานชุดนี้น่าจะไปได้ดี และอาจจะขายได้ราว ๆ 500,000 ก็อปปี หรือมากกว่านั้น ซึ่งเพียงพอที่จะได้รับรางวัลแผ่นเสียงทองคำ
และวันที่ 12 ตุลาคมปีเดียวกัน “Nevermind’ ก็ทำได้ตามที่คาด แต่ยอดขายยังไม่หยุดอยู่แค่นี้ และในวันที่ 11 มกราคม 1992 ‘Nevermind’ ก็เขี่ยอัลบัม ‘Dangerous’ ของไมเคิล แจ็คสันลงจากอันดับ 1 ได้สำเร็จ ท้ายที่สุดงานชุดนี้ขายในสหรัฐอเมริกาไปราว ๆ กว่า 10 ล้านก็อปปี โดยได้รับเสียงวิจารณ์ที่ดีมาก ๆ จนกลายเป็นหนึ่งในอัลบัมสำคัญของวงการเพลงร็อค ส่งผลให้ทางวงรู้สึกสับสนกับความสำเร็จที่จู่โจมมาโดยไม่ทันได้ตั้งตัว เพราะในเวลานั้น พวกเขาคือวงกรันจ์เล็ก ๆ จากรัฐวอชิงตัน
‘Nevermind’ ถูกจัดให้อยู่ในอันดับ 17 ของการ 500 อัลบัมยอดเยี่ยมตลอดกาลจากนิตยสารโรลลิง สโตน และเมื่อมีการจัดอันดับใหม่ในปี 2012 ก็ยังคงอยู่ในอันดับเดิม แล้วเมื่อมีการจัดอันดับอีกครั้งในปี 2020 งานงานชุดนี้ก็ขยับมาอยู่ในอันดับ 6
นอกจากนี้ ‘Nevermind’ ยังได้ชื่อว่าเป็นงานที่มีส่วนสำคัญในการนำดนตรีกรันจ์และอัลเทอร์เนถีฟ ร็อค ไปสู่คนฟังงานเมนสตรีม และเป็นงานที่ยุติยุคทองของวงแฮร์แบนด์
1991: The Red Hot Chili Peppers ออกอัลบัม ‘Blood Sugar Sex Magik’ ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นงานที่มีเพลงดัง อย่าง “Under the Bridge” และ “Give It Away” งานชุดนี้สามารถขายได้กว่า 10 ล้านก็อปปีทั่วโลก และทำให้พวกเขากลายเป็นวงดนตรีระดับหัวแถวในที่สุด
ภายใต้การแนะนำของริค รูบิน ที่ทำหน้าที่เป็นโปรดิวเซอร์ให้กับอัลบัม ทางวงได้ค้นพบอิสระทางความคิดสร้างสรรค์ขณะที่ทำการบันทึกเสียงงานชุดนี้ที่ เดอะ แมนชัน บ้านเก่าของแฮร์รี ฮูดินี ในลอส แอนเจลิส
โดยเฉพาะ แอนโธนี คีดิส นักร้องนำของวง ลังเลที่จะก้าวไปสู่การทำเพลงในรูปแบบใหม่ ๆ ของวง ด้วย “Under the Bridge” ที่เริ่มต้นด้วยการเป็นบทกวี จนรูบินกระตุ้นให้เขาทำมันออกมาเป็นเพลงบัลลาด และคีดิสก็ปลดเปลื้องจิตวิญญาณออกมาเต็มไปที่ในเพลงนี้ ซึ่งเป็นการพูดถึงความเปล่าเปลี่ยวและความโดดเดี่ยวที่เขารู้สึก ในช่วงที่ติดเฮโรอีน
เพลงนี้ขึ้นไปถึงอันดับ 2 ในชาร์ตบิลล์บอร์ด ฮ็อต 100 และเป็นตัวส่งวงไปสู่การเป็นวงดนตรีในกระแสหลัก ขณะที่เพลงอื่น ๆ ในชุดที่เนื้อหาทะลึ่ง ๆ ก็ช่วยดึงพวกเขาไว้ให้อยู่กับกลุ่มคนฟังดนตรีทางเลือก “Give It Away” เป็นซิงเกิลฮิตอีกเพลงจากงานชุดนี้ และทำให้วงได้รับรางวัลแกรมมีรางวัลแรก ในสาขา การแสดงดนตรีฮาร์ด ร็อค ยอดเยี่ยม
‘Blood Sugar Sex Magik’ กลายเป็นหนึ่งในอัลบัมที่ต้องฟังจากสื่อต่าง ๆ มากมาย โรลลิง สโตนให้งานชุดนี้ติดอยู่ใน 500 อัลบัมยอดเยี่ยมตลอดกาล และ 100 อัลบัมยอดเยี่ยมของยุค ‘90s ส่วนหอประกาศเกียรติคุณร็อคแอนด์โรลล์ ให้อัลบัมชุดนี้อยู่ในอันดับ 88 ของการจัดอันดับ 200 อัลบัมตลอดกาล (The Definitive 200: Top 200 Albums of All-Time) เมื่อปี 2007
1993: มือกลองและสมาชิกรุ่นก่อนตั้งวง Guns N’ Roses สตีเวน แอดเลอร์ ตกลงยอมความในคดีที่เขาฟ้องวงและผู้จัดการวง ด้วยการรับเงินค่าเสียหาย 2.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
ในตอนที่เขาออกจากวงไปในปี 1990 แอดเลอร์ได้เซ็นสัญญามอบผลประโยชน์ต่าง ๆ ให้กับวงแล้ว แต่เขาอ้างว่า ตัวเองอยู่ในสภาพที่ไม่เต็มร้อยในตอนที่เซ็นสัญญา และถูกฉวยโอกาสจากสถานการณ์นั้น
ให้กำลังใจและสนับสนุนเราได้ที่บัญชีธนาคารกสิกรไทย หมายเลข 100-2-10283-4 แล้วแจ้งมาที่กล่องข้อความของเพจ sadaos หรือที่อีเมล shopsadaos@gmail.com เพื่อรับของขวัญแทนน้ำใจ
ติดตามอ่านเรื่องราว ข่าวสาร ชมตัวอย่าง ชมคลิป ชม MV อ่านวิจารณ์หนังและเพลง ได้ด้วยการกดไลค์เพจสะเด่าส์ ได้ที่นี่