ปี 2017 ยังคงเป็นปีที่มีภาพยนตร์ที่น่าติดตาม ในระดับห้ามพลาดมากมายหลายเรื่องให้ได้ชมกัน และนี่คือบางส่วนที่เปิดหน้า เปิดตาออกมาให้ได้รู้กันแล้วว่า จะมาเจอกับผู้ชมในปีนี้ ซึ่งบางเรื่องก็เข้าฉายในบ้านเราเรียบร้อยไปแล้ว และบางเรื่อง ก็คงไปหาชมกันในแผ่น หรือดูแบบสตรีมมิง แต่จะมีเรื่องอะไรบ้างนั้นคลิกอ่านกันได้ที่นี่
TRANSFORMERS: THE LAST KNIGHT
ผู้กำกับ: ไมเคิล เบย์ นักแสดง: มาร์ค วอห์ลเบิร์ก, แอนโธนี ฮ็อพคินส์, สแตนลีย์ ทุคชี, จอช ดูฮาเมล, จอห์น เทอร์เทอร์โร
กับการมุ่งไปสู่ยุคใหม่ของบรรดาออโตบ็อทส์ ด้วยหนัง Transformers: Age of Extinction เมื่อปี 2014 ซึ่งเปรียบได้กับการปรับรูปร่างของหนังใหม่ กลายเป็นงานที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดอันดับที่ 2 ของหนังชุดนี้ เมื่อทำรายได้กว่าหนึ่งพันล้านเหรียญทั่วโลก และสำหรับหนังเรื่องที่ห้า ไมเคิล เบย์ยังกลับมาทำหน้าที่เดิมให้กับหนัง และสิ่งต่างๆ ก็เหมือนเป็นการย้อนกลับไปหาความแปลกประหลาดอย่างจริงจัง ด้วยพล็อตที่เกี่ยวข้องกับเชอร์ชิลล์, นาซี และกษัตริย์อาร์เธอร์ Transformers: The Last Knight ก็คือตัวอ็อพติมัส ไพรม์ ที่จะเป็นนักท่องเวลาคนสำคัญ แล้วก็จะได้เห็นการกลับมาของ เคด เยเกอร์ (มาร์ค วอห์ลเบิร์ก) และวิลเลียม เลนน็อกซ์ (จอช ดูฮาเมล) รวมไปถึงการเป็นส่วนหนึ่งของหนังชุดนี้ครั้งแรกของแอนโธนี ฮ็อพคินส์
“พวกเขาทำได้ดีมาก กับการย้อนเวลา และเชื่อมต่อกับสิ่งต่างๆ ในประวัติศาสตร์ รวมไปถึงแสดงให้เห็นว่ามันมีความสัมพันธ์กับโลกของพวกเรายังไง” เบย์พูดถึงการทำงานของทีมเขียนบท ที่ประกอบด้วย อาร์ท มาร์คัม, แม็ทท์ ฮอลโลเวย์ และเคน โนแลน ผู้ชมจะได้เจอทั้งไดโนบ็อทส์ แล้วก็ยังจะมีออโตบ็อทส์ใหม่ๆ อย่าง ฮ็อท ร็อด สหายร่วมรบของบัมเบิลบี และเวสปา สควีคส์
เบย์เผยด้วยว่า มี ‘ไอเดียเจ๋งๆ’ เพียบที่ปลิวว่อนอยู่ในห้องของทีมเขียนบท และพาราเมาท์เองก็ตั้งใจที่จะขยายจักรวาลในโลกภาพยนตร์ของ Transformers ออกไปอีก ด้วยการมีหนังตอนแยกของบัมเบิลบีในปี 2018 และหนังภาค 6 ก็วางกำหนดฉายเอาไว้แล้วในปี 2019
THE DARK TOWER
ผู้กำกับ: นิโคลาจ์ อาร์เซล นักแสดง: ไอดริส เอลบา, แม็ทธิว แม็คคอนาเฮย์, แจ็คกี เอิร์ล ฮาลีย์, ฟรานซ์ ครานซ์
คุณจะดัดแปลงมหากาพย์ อลังการ อย่าง หนังสือเล่มหนาที่เป็นนิยายชุดแปดเล่มจบ The Dark Tower ของสตีเฟน คิง มาเป็นหนังใหญ่ยังไง? เอ่อ… คุณทำไม่ได้หรอก มันเป็นการหาเรื่องตายชัดๆ และหนัง The Dark Tower ของผู้กำกับนิโคลาจ์ อาร์เซล จริงๆ แล้วเป็นตอนต่อของนิยายเล่มสุดท้ายในชุด ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องราวของคิง โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่ความสัมพันธ์ระหว่าง อัศวินอย่าง โรแลนด์ เดสเชน (ไอดริส เอลบา) และ พ่อมด-ชายในชุดดำ (แม็ทธิว แม็คคอนาเฮย์) ที่ต่างพยายามค้นหาสิ่งก่อสร้างสำคัญ ที่มีพลังในการปกป้องโลกของพวกเขา
“เราอยากวางโครงเรื่องใหม่ให้กับนิยาย เพื่อที่จะได้มีความเป็นหนังมากขึ้น” รอน ฮาวเวิร์ด ผู้อำนวยการสร้างกล่าว เขาคือคนที่รวบรวมทีมคนเก่งๆ มาทำงานให้กับ The Dark Tower เพื่อดึงส่วนต่างๆ ออกมาแล้วจากนั้นก็จัดรูปจัดร่างหนังสือขึ้นใหม่ “สตีเฟน คิง เห็นด้วยแล้วก็เข้าใจในสิ่งที่เราเดินหน้าทำกัน”
การยอมรับของคิง เป็นเพียงการกระโดดข้ามอุปสรรคแรก แต่ยังมีอะไรอีกมากมายที่หนังของอาร์เซลเรื่องนี้ต้องเจอ โดยเฉพาะเมื่อมันถูกวางไว้ให้เป็นหนังเรื่องแรกของงานภาคต่อ โดยยังมีซีรีส์โทรทัศน์ที่สร้างจากนิยายเรื่อง The Dark Tower IV: Wizard and Glass ซึ่งจะพาผู้ชมไปพบกับโรแลนด์ในวัยหนุ่ม และคาดกันว่าทั้งเอลบาและแม็คคอนาเฮย์จะเป็นนักแสดงรับเชิญ งานนี้เอลบาสัมผัสได้ถึงความกดดันที่ถาโถมเข้ามา “มันเป็นตัวละครสำคัญ” เขาเผย “ผมอยากให้ออกมาเข้าท่าเข้าทาง” ถ้าเขาทำได้ หนังชุดนี้น่าจะกลายเป็นอะไรที่ใหญ่โตมโหฬารพอๆ กับจักรวาลของมาร์เวล
BLADE RUNNER 2049
ผู้กำกับ: เดนิส วิลเลนีฟ นักแสดง: แฮร์ริสัน ฟอร์ด, ไรอัน กอสลิง, โรบิน ไรท์, จาเรด เลโต, เดฟ บัวติสตา
“เป็นเรื่องบ้าบิ่นมากๆ ที่เรากล้าเสี่ยงทำหนังเรื่องนี้” เดนิส วิลเลนีฟ ผู้กำกับกล่าว “มันเหมือนกับคุณพยายาม เจ๊าะแจ๊ะกับหายนะทุกๆ เช้า” กับการที่ต้องรับผิดชอบสานต่องานที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นงานคลาสสิคชิ้นสำคัญแบบนี้ เป็นเรื่องที่เข้าใจได้สำหรับความกังวลใจที่วิลเลนีฟรู้สึก กับเรื่องที่ศูนย์กลางเต็มไปด้วยความลึกลับที่เกาะอยู่ในความรู้สึก และภาพในแบบหนังนัวร์ ทำให้ Blade Runner กลายเป็นงานไซ-ไฟ/ แฟนตาซี ตัวพ่อของหนังแนวทางนี้
ถึงแม้หนังของริดลีย์ สก็อทท์ จะบอกเป็นนัยๆ ถึงโลกที่กว้างใหญ่กว่าที่เห็นในหนัง แต่ในช่วงเวลา 30 ปีนับตั้งแต่ออกฉาย ก็ไม่มีใครกล้าไปแตะต้อง เพราะกลัวว่าจะกลายเป็นการสร้างมลทินให้กับสิ่งที่หนังเรื่องนี้ทิ้งเอาไว้ให้
หากมีใครสักคนที่เหมาะสม คนนั้นก็คงไม่พ้นวิลเลนีฟ ที่พิสูจน์ให้เห็นความสามารถในการทำหนังไซ-ไฟด้วยงานระดับมาสเตอร์พีซ Arrival ในปี 2016 แล้วในขณะเดียวกัน เขาก็ทำหนังระทึกขวัญที่ว่าด้วยบาดแผลที่ยึดแน่นมาอย่างต่อเนื่อง จาก Prisoners, Enemy ถึง Sicario ซึ่งเต็มไปด้วยอารมณ์ และตัวละครที่มีแคเรคเตอร์ แล้วกับ Blade Runner 2049 เขาก็เดินหน้าได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ด้วยการมีแฮร์ริสัน ฟอร์ด กลับมารับบทเดคคาร์ด “เราจะต้องประคบประหงมความลับเป็นอย่างดี” วิลเลนีฟพูดถึง ปริศนาที่ว่า เดคคาร์ค ที่สุดแล้วเป็นพวกรีพลิแคนท์ด้วยหรือเปล่า? ขณะที่การเลือกไรอัน กอสลิง ก็เป็นตัวเลือกที่น่าประทับใจมากๆ สำหรับหน้าใหม่ของหนัง เช่นเดียวกับ โรบิน ไรท์, จาเรด เลโต และเดฟ บัวติสตา แต่ทุกอย่างที่ทุกคนรู้เกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ก็คือ เรื่องราวจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่… วิลเลนีฟบอกว่า “มหาสมุทร, ฝน และหิมะ ทุกอย่างกลายเป็นพิษ” แต่ตัวพล็อตยังเป็นความลับ
ALIEN: COVENANT
ผู้กำกับ: ริดลีย์ สก็อทท์ นักแสดง: ไมเคิล ฟาสส์เบนเดอร์, แคเธอรีน วอเตอร์สตัน, แดนนี แม็คไบรด์, นูมี ราเพซ
หลังเจอกับพวกอ็อคคามี และวาควีน ฟีนิกซ์ที่เละเทะสุดๆ ใน Fantastic Beast and Where to Find Them และ Inherent Vice ตามลำดับ คราวนี้แคเธอรีน วอเตอร์สตันจะเจอสิ่งที่น่ากลัวกว่าโคตรๆ ในการกลับมาสู่โลกเอเลียนของริดลีย์ สก็อทท์ และผู้กำกับของเธอก็จัดเต็มอย่างที่สุด “ริดลีย์ เป็นพวกซาดิสท์” เธอกล่าว “เขาชอบให้มีความน่าพรั่นพรึงในกองถ่าย”
นอกจากรู้ว่านูมี ราเพซจะกลับมา เห็นได้ชัดว่าบรรดาคนในของหนัง Covenant ต่างยึดกฏพื้นฐานในการปกปิดความลับสำหรับหนังภาคต่อของ Prometheus ได้เป็นอย่างดี ที่หลายๆ คนรู้ก็ีแค่ ลูกเรือของยานหาอาณานิคมเดินทางมาถึงดาวเคราะห์ที่เมืองสรวงสวรรค์ ซึ่งไม่มีใครเคยแตะต้องมาก่อน งานนี้คาดหวังการวิ่งหนีตับแล่บ, เสียงกรีดร้อง ที่มีตัวร้ายจากการออกแบบของเอชอาร์ ไกเกอร์ ไล่หลังได้เลย และเชื่อว่าหนังมีอะไรที่น่าตื่นเต้นมากกว่านี้ และที่แน่ๆ มันน่าจะน่ากลัวกว่าที่เคยเป็น
สำหรับการกลับมาเป็นเดวิด หุ่นจากยานพรอมีธีอุส และเป็นมนุษย์สังเคราะห์ – วอลเตอร์ ไมเคิล ฟาสส์เบนเดอร์เผยว่า “มันน่ากลัวโคตรๆ” ขณะที่แดนนี แม็คไบรด์ ที่รับบทนักบินยานโคเวแนนท์ก็เห็นพ้องต้องกัน “มันเป็นหนังสยองขวัญแท้ๆ” เขาย้ำ “ผมไม่เคยอยู่ในหนังที่ตึงเครียดขนาดนี้มาก่อนเลย”
ส่วนคาลลี เฮอร์นานเดซ ที่คลานจาก Blair Witch มาหา Covenant เมื่อถูกถามว่า การได้เจอกับเอเลียนในฉาก ทำให้กลัวหัวหดเลยไหม เธอตอบว่า “ไม่นะ มันก็ก็ระทึกๆ พอๆ กับที่คุณสามารถจินตนาการได้ว่ามันจะเป็นยังไง” และถ้าสก็อทท์สามารถเล่าเรื่องได้ในแบบ The Martian งานนี้สนุกแน่
PIRATES OF THE CARIBBEAN: SALAZAR’S REVENGE
ผู้กำกับ: โจอาชิม รอนนิง, เอสเพน แซนด์เบิร์ก นักแสดง: จอห์นนี เด็ปป์. ฆาเบียร์ บาร์เด็ม, คายา สโคดาเลริโอ, เบรนตัน ธเวทส์, ออร์แลนโด บลูม
ตัวร้ายคนใหม่, ผู้กำกับใหม่คนคู่ และได้นักแสดงหนุ่มๆ สาวๆ มาเข้าทีม โดยที่ยังไม่พูดถึงจอห์นนี เด็ปป์ ไม่ต้องสงสัยเลยว่างานนี้ เจอร์รี บรัคไฮเมอร์จะมั่นใจขนาดไหน “นี่คือหนัง Pirates ที่ได้คะแนนสูงที่สุดที่เราเคยทำได้” เขาพูดถึงผลตอบรับจากการฉายหนังฉบับหยาบๆ รอบพรีวิว “หลายคนบอกว่า มันกลับไปหาหนังภาคแรก มันมีอะไรหลายอย่างที่ทำให้นึกถึงหนังเรื่องนั้น ทั้งพลังเหนือธรรมชาติ และเรื่องราวความรักที่มีอยู่ในเรื่อง
หนังกำกับโดยคู่หูคนทำหนังนอร์วีเจียน โจอาชิม รอนนิง และเอสเพน แซนด์เบิร์ก ที่เคยทำ Kon-Tiki และ Bandidas ด้วยกันมาก่อน และในครั้งนี้กัปตันแจ็ค สแปร์โรว์ของเด็ปป์ จะจะถูกตามล่าโดยนักปล้นหน้าผีผู้เต็มไปด้วยความแค้น กัปตันซาลาซาร์ (ฆาเบียร์ บาร์เด็ม) ซึ่งติดอยู่กลางสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา และพยายามตามหาตรีศูลของโพไซดอน “เขาเป็นพวกอมตะ” บรัคไฮเมอร์ บอก “แต่คุณก็ไม่แน่ใจว่า เขาเป็นตัวอะไร”
การที่มีบาร์เด็ม และผู้อำนวยการสร้างคนเก่งดึงจอฟฟรีย์ รัช กลับมารับบทกัปตันบาร์บอสซาได้ ทำให้หนังเรื่องนี้มีดาราออสการ์ถึงสองคน “เขา (บาร์เด็ม) เป็นคนที่มีของ คุณดูพัฒนาการของตัวละครที่เขาเล่นในหนัง Bond กับ No Country for Old Men ซิ เห็นๆ กันเลยว่าเขาเป็นคนที่มีศักยภาพมากๆ”
แล้วกัปตันซาลาซาร์ จะออกมาเจ๋งพอฟัดพอเหวี่ยงกับ ราอูล ซิลวา ใน Skyfall และแอนตัน ชิเกอหร์ หรือเปล่า? “เขาจะอยู่ประมาณนั้น” บรัคไฮเมอร์ ตอบ “เราเติมองค์ประกอบในส่วนที่เป็นเรื่องเหนือธรรมชาติลงไป เพราะฉะนั้นเขาเลยอยู่เหนือตัวละครเหล่านั้น”
หนังเรื่องนี้ไม่ใช่มีแค่ จอห์นนีเจอกับฆาเบียร์ แต่ยังมีคายา สโคเดลาริโอ จาก Skin มาเล่นเป็น คารินา สไมธ์ – นักดาราศาสตร์ มีเบรนตัน ธเวทส์ ดาราหนุ่มออสซี มารับบท เฮนรี – ลูกชายของวิลล์ เทอร์เนอร์ ที่เล่นโดยออร์แลนโด บลูมเหมือนเดิม หลังหายหน้าหายตาไปใน Strange Tides บรัคไฮเมอร์เผยอีกว่า บทของบลูมเปรียบได้กับจังหวะหัวใจของหนัง
กับรายได้กว่า 3 พันล้านเหรียญทั่วโลกที่หนังชุดนี้ทำได้ การเดินทางครั้งนี้ ที่เด็ปป์กลับมารับบทเดิมที่สร้างชื่อให้กับตัวเอง “การได้ดูแจ็คหยิบบูทมาใส่ มันเป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นเสมอ”
WAR FOR THE PLANET OF THE APES
ผู้กำกับ: แม็ทท์ รีฟส์ นักแสดง: แอนดี เซอร์คีส, วูดี ฮาร์เรลสัน, สตีฟ ซาห์น, จูดี เกรียร์
หลังการต่อสู้ฝุ่นตลบที่ทำให้สันติภาพแตกเป็นเสี่ยงๆ ในฉากไคลแม็กซ์ของ Dawn of the Planet of the Apes คุณอาจจะคิดว่า รู้แล้วล่ะว่าหนังตอนก่อนรวมสามภาคที่ว่าด้วยเรื่องราวของวานรครองโลก จะไปจบลงที่ไหน เดินหน้าไปสู่สงคราม, ชายหาด และอนุเสาวรีย์ จากชื่อเรื่องและภาพโปรโมทภาพแรก ที่มีทั้งม้า และชายหาด แสดงให้เห็นชัดเจน แล้วอย่าลืมสิ่งที่ซีซาร์ของแอนดี เซอร์คีสพูดเตือนเอาไว้ใน Dawn “สงครามเริ่มต้นแล้ว”
คราวนี้ซีซาร์ต้องเผชิญหน้ากับผู้พันที่รับบทโดยวูดี ฮาร์เรลสัน แต่การต่อสู้ที่ล้ำลึกกว่านั้น เกิดขึ้นในสมองของผู้นำอย่างซีซาร์ จากการสังหารโทบี เคบเบลล์ ใน Dawn โดยนักรบอย่าง โคบา นำไปสู่การละเมิดกฏของซีซาร์ที่ว่า ‘วานรไม่ฆ่าวานรด้วยกัน’ และพาตัวเขาไปเจอกับ “การทดสอบครั้งสำคัญ” แม็ทท์ รีฟส์ ผู้กำกับที่มากุมบังเหียนหนังเรื่องนี้อีกครั้งเผย “เขาสงสัยว่า ‘บางทีถ้าข้าเข้าใจว่า โคบาคิดอะไรอยู่ในใจ ข้าอาจจะหลีกเลี่ยงเรื่องทั้งหมดนี้ได้’ เขาเริ่มเข้าใจจริงๆ ว่า โคบารู้สึกอะไร และมันก็กลายเป็นสงครามในจิตใจของซีซาร์”
เซอร์คีสบอกว่า หนังเรื่องนี้ “เป็นการเดินทางที่มืดมนอันน่าทึ่ง” สำหรับซีซาร์ และน่าจะออกมาดูยิ่งใหญ่อย่างเหลือเชื่อ การถ่ายทำต้องไปตั้งกองกันบนภูเขา ซึ่งเซอร์คีสและทหารวานรอย่าง สตีฟ ซาห์น และเทอร์รี โนทารี ต้องเจอกับความเย็นยะเยียบ “เราอยากจะทำให้เรื่องราวมันดูจริงมากที่สุด” รีฟส์บอก ก่อนจะย้ำว่างานนี้ จะได้เจอกับ “ฉากรบยิ่งใหญ่มโหราฬท่ามกลางหิมะ” แล้วขณะที่เรื่องราวดำเนินไป ซีซาร์เหมือนจะกลายเป็นโมเสสในประวัติศาสตร์วานร “เขาเหมือนคลินท์ อีสท์วูด” รีฟส์ เผย “เป็นตัวแสบขนานแท้”
จากเรื่อง ดูหนังทั้งปี 2017 (4) โดย ฉัตรเกล้า นิตยสาร เอนเตอร์เทน ฉบับที่ 1229 ปักษ์แรกเมษายน 2560
ติดตามอ่านเรื่องราว ข่าวสาร ชมตัวอย่าง ชมคลิป ชม MV อ่านวิจารณ์หนังและเพลง ได้ด้วยการกดไลค์เพจสะเด่าส์ ได้ที่นี่