ประวิทย์ แต่งอักษร หรืออาจารย์ ประวิทย์ แต่งอักษรของหลายๆ คน เป็นหนึ่งในหนังวิจารณ์ระดับหัวแถวของวงการภาพยนตร์ในยุคนี้ ที่ได้รับการยกย่องและกล่าวถึงเสมอๆ และยังเป็นอาจารย์สอนวิชาเกี่ยวกับภาพยนตร์ในหลายๆ สถาบัน
และเมื่อถึงเวลาเปลี่ยนปีคริสต์ศักราช และพุทธศักราช เขาก็ได้เลือกเอาผลงานที่ชื่นชอบ และชื่นชมมาบันทึกไว้ โดยจัดหมวดหมู่เป็น หนังต่างประเทศ, หนังไทย และหนังสารคดี
และนี่คือหนังต่างประเทศที่ถูกคัดเลือกเอาไว้ โดยที่ไม่ได้เรียงลำดับตามความชื่นชอบ หรือกระทั่งตามตัวอักษร
สามารถกดไลค์ Like เพจสะเด่าส์ ได้ที่นี่
หนังต่างประเทศ
August: Osage County
หนังอาจจะเริ่มต้นด้วยภาพที่สุดแสนปลอดโปร่งของท้องทุ่งกว้างในช่วงเวลาอันอบอ้าวของเดือนสิงหาคม แต่เนื้อหาส่วนใหญ่หลังจากนั้น-เกิดขึ้นในคฤหาสน์ที่ดูเหมือนว่าแสงสว่างเป็นของต้องห้าม และบรรยากาศอุดอู้ขมุกขมัว แต่ความเหี่ยวแห้งอับเฉาทางกายภาพก็ยังเทียบเคียงไม่ได้กับชีวิตของบรรดาตัวละครในเรื่อง-ซึ่งล้วนแล้ว ห่อหุ้มเอาไว้ด้วยความเจ็บปวดขื่นขมในแบบฉบับเฉพาะของแต่ละคน
Nebraska
หนังตลกร้ายที่ตามเนื้อผ้าแล้ว ไม่มีอะไรที่ผู้ชมฝากผีฝากไข้ได้เลย ตั้งแต่ในความเป็นหนังขาวดำ ไม่มีนักแสดงระดับซุปเปอร์สตาร์ แถมเนื้อหายังเกี่ยวข้องกับชายชราหัวดื้อ แต่จนแล้วจนรอด มันกลับลงเอยในลักษณะที่ไม่แตกต่างไปจากผลงานเรื่องก่อนๆของอเล็กซานเดอร์ เพย์น ทั้งในความตลกขบขัน อบอุ่น อ่อนโยน อ่อนหวานและโดยที่ไม่ต้องพยายาม อีกทั้งเนื้อหาก็ไม่ต้องผ่านกระบวนการพาสเจอร์ไรซ์ หรือประนีประนอมกับความเป็นจริงและเส้นศีลธรรม
Under the Skin
ไม่อาจจะพูดได้ว่าเข้าอกเข้าใจหนังเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วน แต่ Under the Skin ก็อยู่ห่างไกลจากการเป็นหนังที่ดูไม่รู้เรื่อง ในทำนองเดียวกับบทมนุษย์ต่างดาวของสการ์เล็ทท์ โจฮานส์สันผู้ซึ่งมีทรวดทรงองค์เอวเย้ายวน หนังของโจนาธาน เกลเซอร์มีเสน่ห์ดึงดูดอย่างน่าอัศจรรย์ และในเวลาไม่ช้าไม่นาน ผู้ชมก็น่าจะพบว่าตัวเองอยู่ในสภาวะเดียวกันกับเหยื่อเคราะห์ร้ายของหญิงสาว และนั่นคือถูกหนัง ‘สูบ’ หายไปในมิติของความน่าพิศวงงงงวย
Grand Budapest Hotel
ดูหนังเรื่องนี้สองรอบ รอบแรกดูผ่านเครื่องรับโทรทัศน์ และต้องใช้เวลาเกือบสองวัน และไม่ประทับใจเลย รอบสองได้ดูบนจอใหญ่ ณ โรงหนังเฮ้าส์ อาร์ซีเอ. ในวาระการเฉลิมฉลองครบสิบปีของโรงหนัง และมันกลายเป็นหนังคนละเรื่องโดยสิ้นเชิง แทบทุกส่วนของหนังอยู่ในขั้นวิเศษเลิศเลอ ตั้งแต่กลวิธีในการบอกเล่า การแสดงของนักแสดง งานด้านโปรดักชั่นดีไซน์ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้สรุปได้ว่า หนังบางเรื่อง-สมควรต้องดูในฟอร์แม็ทที่คนทำหนังออกแบบมาตั้งแต่เริ่มแรก และนั่นก็คือในโรงหนัง ‘เท่านั้น’
แต่ที่น่าเศร้าสุดๆก็ตรงที่หนังเรื่องนี้ไม่ได้ถูกส่งมาฉายในรอบปกติในบ้านเรา
The Wind Rises
“ในความอ่อนโยนและอ่อนหวาน มันแฝงไว้ด้วยความเศร้าสร้อยและขื่นขม และในขณะที่เนื้อหาส่วนหนึ่งมันบีบคั้นและสะเทือนอารมณ์ อีกส่วนหนึ่งมันก็ให้ทั้งความหวังและเสริมสร้างแรงบันดาลใจ แต่อย่างหนึ่งที่เชื่อว่า ผู้ชมน่าจะรู้สึกเหมือนๆกันก็คือ มันเป็นหนังที่ช่วยขยับขยายเส้นขอบฟ้าของจินตนาการให้ยิ่งไกลสุดลูกหูลูกตา และเหนืออื่นใด มันทำให้ผู้ชมได้พบกับแสงสว่างแห่งปัญญา”
Boyhood
“การได้เห็น ‘12 ปีจริงๆ’ เคลื่อนผ่านไปในความเร็ว 2 ชั่วโมง 44 นาทีตามความยาวของหนังทำให้แทบจะพูดเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากบอกว่า-ชีวิตและหนังช่างเป็นการสร้างสรรค์ที่น่าอัศจรรย์ซะเหลือเกิน”
Gone Girl
ประโยคหนึ่งจากหนังคลาสสิกของคิง วิดอร์เรื่อง the Crowd ที่สามารถใช้อธิบายสถานการณ์ของเบน แอฟเฟล็คในหนังเรื่อง Gone Girl ได้อย่างเหมาะเจาะเหลือเกิน
“marriage isn’t a word…it’s a sentence!”
Babadook
หนังเขย่าขวัญในแบบโอลด์แฟชั่น และดูเหมือนว่ามันจะใช้ประโยชน์จากสิ่งที่เรียกว่าสเปเชี่ยล วิฌ่วล เอฟเฟ็คท์อย่างกระเหม็ดกระแหม่ แต่กลับไม่มีผลต่อการสร้างบรรยากาศที่น่าหวาดผวาและการนำเสนอฉากที่ชวนให้อกสั่นขวัญแขวน และผู้ชมเหมือนกับไม่ได้เพียงแค่เฝ้าติดตามตัวละครที่ประสาทเสียและเส้นประสาทใกล้จะขาดผึงเพียงลำพัง แต่มันเหมือนกับเรากำลังดำดิ่งลงไปในโลกของความเสียสติและวิกลจริตอย่างชนิดที่ไม่มีแรงขัดขืนมากขึ้นทุกที และตกอยู่ในภาวะเดียวกันกับตัวละคร
Whiplash
ในความเป็นหนังสูตรสำเร็จที่ถูกสร้างออกมาอย่างซ้ำซากจำเจ นี่คือผลงานที่ original ในแทบทุกองคาพยพ
Goodbye to Language 3d
นอกเหนือจากการเป็นหนังสามมิติที่บ้าบอคอแตกที่สุดที่เคยดูมา โกดาร์ดฺยังพูดในสิ่งที่บรรดาคนที่ทำงานกับภาษา (ไม่ว่าพูดหรือเขียน) น่าจะคล้อยตาม นั่นคือหลายครั้งหลายครา แทนที่ภาษาจะช่วยเชื่อมโยง มันกลับทำให้การสื่อสารตกอยู่ในสภาวะพิกลพิการ
Two Days One night
หนังที่มุ่งแสดงความเลวร้ายของระบบทุนนิยม ข้อสำคัญ สิ่งที่นำเสนอก็ไม่ได้เป็นเรื่องหลงละเมอเพ้อพกไปเองของคนทำหนัง และผู้ชมสามารถเชื่อมโยงกับความเป็นจริง ส่วนที่น่าเศร้าก็คือ หากย้อนเวลากลับในวันวาน คนใช้แรงงานระดับรากหญ้ายังพอจะมี ‘โลกของสังคมนิยม’ ให้ได้เพ้อฝันถึงในตอนกลางวัน แต่ภายหลังจากที่ระบบทุนนิยมเขมือบทุกอย่างที่ขวางหน้าตลอดระยะเวลา 30-40 ปีที่ผ่านพ้นไป และสำรอกบรรดาเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายออกมาในสภาพไม่แตกต่างจากหนูถีบจักรที่น่าสมเพชเวทนา
กลายเป็นว่า สิ่งเดียวที่พอจะหลงเหลือให้ทำได้-ก็เพียงแค่ตะกายตัวเองไปข้างหน้าเรื่อยๆจนกว่าจะไม่เหลือเรี่ยวแรง
Saint Laurant
“เหตุการณ์น้อยใหญ่ตามที่ได้รับการถ่ายทอด ‘อย่างไม่ปะติดปะต่อ’ ในหนังเรื่องนี้-ก็เป็นเหมือนกับการแสดงคอลเล็คชั่นต่างๆในแต่ละช่วงชีวิตของโลรองต์นั่นเอง และมันเคลื่อนผ่านการรับรู้ของพวกเราไปค่อนข้างรวดเร็ว เหมือนกับบรรดานางแบบทั้งหลายบนแค็ทวอล์คที่ไม่เคยหยุดให้เหล่าแฟชั่นนิสต้าทั้งหลายได้พินิจพิเคราะห์รายละเอียดของงานด้านออกแบบตลอดจนเสื้อผ้าหน้าผมของผู้สวมใส่อย่างจริงๆจังๆ และแน่นอนว่าเราไม่มีวันจดจำทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏและเคลื่อนผ่านเบื้องหน้าเราได้ แต่อย่างน้อย หนังก็ทำให้เรารับรู้ว่า สภาวการณ์แบบไหนที่ตัวละครต้องเผชิญ”