อย่างที่รู้กัน ธุรกิจโรงภาพยนตร์ถูกสั่นคลอนอย่างรุนแรงในปี 2020 และการระบาดของโควิด-19 ก็ทำให้พื้นฐานของการสร้างภาพยนตร์, การจัดจำหน่าย และสนุกกับมันเปลี่ยนแปลงไป แต่ก่อนหน้า หรือกว่าที่บ็อกซ์ ออฟฟิศจะกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ยังคงมีประเด็นใหญ่ๆ ที่ฮอลลีวูดจะต้องหาทางจัดการให้ได้ ซึ่งเกี่ยวพันกับทุกอย่างในอุตสาหกรรมนี้ ไม่ว่าจะเป็น ตัวแดงในบัญชีของโรงภาพยนตร์ ไปจนถึงความคืบหน้าของจักรวาลภาพยนตร์จากหนังสือการ์ตูน
และรีเบ็คกา รูบิน กับเบรนท์ แลง จาก Variety.com ก็นำมาสรุปเป็นห้าปัญหาที่อุตสาหกรรมภาพยนตร์ต้องเผชิญ…
@ โรงภาพยนตร์ยังมีเงินพอที่จะชำระหนี้ไหม?
เอเอ็มซี, ซีนีเวิร์ลด์ ไปจนถึงเครือโรงภาพยนตร์ที่เล็กกว่า อย่าง ซีนีมาร์ค ต่างก็มีหนี้กองสุมมากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จากการแข่งขันกันเอง และการตบแต่งโรงหนัง ทดแทนเก้าอี้เก่าๆ ด้วย เบาะเอนได้ที่หรูหรากว่าเดิม ซึ่งทำให้พวกเขามีทุนเพียงเล็กน้อย เมื่อต้องเจอคราวเคราะห์ที่มาเป็นพายุจากโคโรนาไวรัสเมื่อฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมา เอเอ็มซีแจ้งบรรดานักลงทุนไปแล้วว่า ต้องการเงินอุดหนุนอีกราวๆ 750 ล้านเหรียญ เพื่อเลี่ยงการถูกฟ้องล้มละลายในปีนี้ ขณะที่ซีนีเวิร์ลด์ ซึ่งเป็นเจ้าของโรงภาพยนตร์รีกัลในสหรัฐอเมริกา ต้องปิดโรงในยุโรป และอเมริกาเหนือ เพื่อป้องกันการล้มละลาย เจ้าของโรงภาพยนต์อิสระ หรือเครือโรงหนังที่เล็กกว่า ที่ไม่มีการเปิดขายหุ้นต่อสาธารณะต้องเผชิญการปิดตัว ถึงแม้อาจได้รับเงินช่วยเหลือจากทางการตามโครงการ Save Our Stages ซึ่งพวกเครือโรงภาพยนตร์ใหญ่ๆ ไม่มีสิทธิได้รับ กับการแจกจ่ายวัคซีนที่ล่าช้ากว่าที่คาดกันไว้ โรงหนังยังพอมีลมหายใจไปจนกระทั่งบรรดาคนดูกลับมาเข้าโรงกันเป็นล่ำเป็นสันกันอยู่ไหม? เงินช่วยเหลือน่าจะเป็นสิ่งที่ต่อลมหายใจได้เป็นอย่างน้อย และหนึ่งในเครือโรงหนังเหล่านี้อาจจะพบว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์ที่มีสิทธิได้รับการเยียวยา ถ้าเหตุการณ์ยังไม่ดีขึ้นในเร็ววัน
@ จีนจะเป็นแหล่งที่มาของบ็อกซ์ ออฟฟิศได้หรือ?
ในความพลิกผันที่เกิดขึ้นกับภาพยนตร์จากฮอลลีวูด บ็อกซ์ออฟฟิศของจีนกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งในช่วงกลางซัมเมอร์ได้ โดยปราศจากความช่วยเหลือจากเมืองภาพยนตร์ของโลก ถ้ายังไม่เชื่อ ดูที่ Mulan, Tenet และ Wonder Woman 1984 หนังทั้งสามเรื่องเข้าฉายในจีน แต่หนังเจ้าถิ่นอย่าง หนังมหากาพย์สงคราม The Eight Hundred, หนังแอนิเมชัน Jiang Ziya: The Legend of Deification และงานแสดงถึงความรักชาติ My People, My Homeland คืองานที่สร้างยอดขายตั๋วชมภาพยนตร์จำนวนมาก และขับเคลื่อนบ็อกซ์ ออฟฟิศของประเทศ จนทำรายได้เหนืออเมริกาเหนืิอเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ถึงเป็นการยากที่จะเปรียบเทียบกันตรงๆ ระหว่างสองตลาดนี้ เพราะอเมริกายังอยู่ในภาวะควบคุมการระบาดของโคโรนาไวรัส ซึ่งเป็นอุปสรรคในการกลับมาสู่โรงภาพยนตร์ของผู้คน อย่างไรก็ตาม คำถามก็คือ จีนจะยังคงความเป็นเจ้าบ็อกซ์ออฟฟิศในปี 2021 ไว้ได้ไหม? แล้วอย่าลืมว่า ความตึงเครียดระหว่างอเมริกาและจีนยังอยู่ในจุดสูงสุดกว่ายุคไหนๆ ซึ่งหมายความว่า ผลงานของฮอลลีวูดจะไม่ได้รับการโอบกอดอย่างรักใคร่จากผู้ชมในประเทศจีน
@ ฤดูฉายซัมเมอร์จะยังมีอยู่อีกหรือ?
ไม่มีใครบอกได้ว่า เมื่อไหร่การชมภาพยนตร์จะกลับไปสู่สภาพปกติ หรือคำว่า ‘ปกติ’ จะมีนิยามอย่างไรสำหรับโลกหลังยุคโรคระบาด ล่าสุดมีโรงภาพยนตร์ในอเมริกาเหนือแค่ 35% เท่านั้นที่เปิดให้บริการ และยอดขายตั๋วก็ร่วงจนทำสถิติต่ำสุดตลอดกาล ทำให้อนาคตของฤดูฉายในช่วงซัมเมอร์ที่กินเวลาตั้งแต่วันรำลึกทหารผ่านศึกไปจนถึงวันแรงงาน ที่โดยปกติจะสร้างรายได้ให้บ็อกซ์ออฟฟิศถึงราวๆ 40% ต่อปี อยู่ในภาวะไม่น่าไว้ใจ โดยปกติหนังบล็อคบัสเตอร์จะเปิดตัวกันในทุกสุดสัปดาห์ของช่วงซัมเมอร์ แต่จากการวางกำหนดฉายอย่างที่เห็น F9 ในวันที่ 28 พฤษภาคม, Ghostbusters: Afterlife – 11 มิถุนายน, Top Gun Maverick – 2 กรกฎาคม หรือ Shang-Chi and the Legend of the Ten Rings วันที่ 9 กรกฎาคม จนไม่มีความชัดเจนว่า วันเปิดตัวซัมเมอร์อยู่ในช่วงไหน สตูดิโออาจจะกระจายโอกาสทำเงินแผ่ออกไปทั้งปีไปสู่หลายๆ เดือน ย้ายจากฤดูฉายหนังป็อปคอร์น เพื่อเลี่ยงการมีหนังมากองสุมๆ กันขณะที่คนดูเริ่มสบายใจกับการกลับเข้าไปในโรงอีกครั้ง (ล่าสุด Ghostbusters: Afterlife เลื่อนไปเป็น 11 พฤศจิกายน, Top Gun Maverick – 19 พฤศจิกายน, Shang-Chi and the Legend of the Ten Rings 9 กันยายน)
@ โคโรนาไวรัสจะเปลี่ยนประเภทของหนังที่ได้รับความนิยมไหม?
หนังบล็อคบัสเตอร์และหนังภาคต่อทุนสูง คือสิ่งที่ทำให้ฮอลลีวูดไปไกลถึงไหนต่อไหน ซึ่งคงจะไม่เปลี่ยนไปในเร็วๆ วันนี้แน่ แต่ทุนสร้างของหนังที่ใช้งบสูงๆ ถึง 200 ล้านเหรียญ เช่น No Time to Die, Jurassic World: Dominion และ Black Widow ซึ่งกลายเป็นทุนสร้างตามปกติ จะไม่มีทางขยับสูงขึ้นได้อีกแน่นอน ถ้าสตูดิโอจะเมินการฉายในโรงภาพยนตร์แล้วไปลงบริการสตรีมิง หรือบริการปล่อยเช่าแบบดิจิตัล หนังผจญภัยซูเปอร์ฮีโร และแอนิเมชันสำหรับครอบครัว ยังคงอยู่เหนือกาลเวลา และเป็นแนวทางหนังที่ยังมีความต้องการสูง คนดูจะยังโหยหาหนังฟีลกูดไหม? หนังที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับโคโรนาไวรัส ซึ่งตัวละครสวมหน้ากากอนามัย และต้องรักษาระยะห่างทางสังคม ที่โยนผู้คนไปสู่ภาวะที่ไม่มีความแน่นอนทางสังคมจะมีการสร้างไหม? คำตอบคือ เป็นไปได้!
@ คนดูหนังจะต้อนรับมิติที่หลากหลายของหนังที่สร้างจากหนังสือการ์ตูนหรือเปล่า?
สองคู่กัด มาร์เวลสตูดิโอส์ และดีซี ฟิล์มส์ ต่างพึ่งพามิติที่หลากหลาย (multiverses) อย่างหนัก ซึ่งเป็นคอนเส็ปท์ที่ว่าด้วยกลุ่มของโลกคู่ขนาน ที่บางครั้งอาจจะมาซ้อนทับกัน และมีการเล่าเรื่องที่ซับซ้อน โดยมีเรื่องหนึ่งที่ถูกส่งมาแนะนำตัวต่อตลาดไปแล้วก็คือ แอนิเมชัน Spider-Man: Into the Spider-Verse ของโซนี และจะมีเพิ่มมากขึ้นอีกจาก Dr. Strange in the Multiverse of Madness, The Flash และหนังไอ้แมงมุมเรื่องต่อไป รวมถึงรายการทางบริการสตรีมิง ทั้งที่ดิสนีย์พลัส และเอชบีโอ แม็กซ์ แต่อะไรที่ได้เสียงฮือฮาในงานคอมิค-คอน ไม่ได้หมายความว่าจะได้รับผลเช่นเดียวกันต่อสาธารณชน หลังจากที่ต้องนั่งจับเจ่าเพียงลำพังมาหลายเดือน คนดูอาจจะมองหางานที่ทำให้หนีโลกแห่งความเป็นจริง มากกว่างานที่ต้องใช้ความคิด แถมมาร์เวลเองก็กำลังสร้างเฟสใหม่ในยุคหลัง Iron Man หลังแสดงให้เห็นแล้วว่า ตัวละครที่ไม่เป็นที่คุ้นเคยนักจากหนัง อย่าง Ant-Man และ the Guardians of the Galaxy ก็ประสบความสำเร็จในบ็อกซ์ออฟฟิศได้ ส่วนดีซีก็ต้องดิ้นรนอย่างหนักเพื่อสร้างความต่อเนื่องจากหนังที่ถูกสร้างขึ้น น่าสนใจมากๆ ว่า คอหนังพร้อมที่จะเดินทางไปในมิติที่หลากหลายไหม หรือว่าจริงๆ แล้วพวกเขาก็แค่อยากดูมนุษย์ค้างคาวสู้กับโจกเกอร์อีกครั้ง?
โดย ฉัตรเกล้า เรื่อง 2020 ปีที่โลกเปลี่ยนฮอลลีวูด และภาพยนตร์ชั่วนิรันดร์ จากคอลัมน์ Special Scoop นิตยสารเอนเตอร์เทน ฉบับที่ 1320 ปักษ์หลังมกราคม 2564