เกร็ดหนัง เรื่องราวของมิตรภาพ จากคู่แข่งสู่การเป็นวิงแมนตลอดกาลของไอซ์แมน ที่เต็มไปด้วยความประทับใจใน Top Gun: Maverick

TOP GUN: MAVERICK (2022) | ผู้กำกับ: โจเซฟ โคซินสกี

(*บทความเปิดเผยเนื้อหาสำคัญบางส่วนของภาพยนตร์) กว่า 3 ทศวรรษ ผู้ชมถึงได้สัมผัส ‘Top Gun: Maverick’ ภาคต่อของ ‘Top Gun’ งานซึ่งใคร ๆ ที่ได้ชม ส่วนใหญ่ก็บอกออกมาว่า ยิ่งกว่าคุ้มค่าการรอคอย หนังสามารถจัดการกับความคาดหวังทั้งหลายได้ราบคาบ และกลายเป็นงานภาคต่อที่ทรงคุณค่าอีกเรื่องหนึ่งในโลกภาพยนตร์

ขณะที่ฉากบนท้องฟ้ามาพร้อมกับความน่าทึ่ง แทบทำให้ลืมหายใจหายคอ สร้างทั้งความระทึกและความตื่นเต้นให้ผู้ชมได้สำเร็จราวกับพาผู้ชมเดินเข้าไปในแดนอันตราย แต่หนังยังมีอะไรที่มากกว่านั้น และเป็นสิ่งคงค้างอยู่ในความรู้สึกไปอีกนานหลังหนังจบลง

แม้จะเป็นหนังภาคต่อเหมือนกัน แต่ ‘Top Gun: Maverick’ ก็ต่างจากภาคต่อของหนังคลาสสิกในอดีต อย่าง ‘Scream’ หรือ ‘Jurassic World: Dominion’ เมื่อตัวละครจากต้นฉบับกลับมาเพียงไม่กี่ราย หนึ่งที่ต้องมาแน่ ๆ คือ ทอม ครูซ ที่รับบทพีเทอร์ ‘มาเวอริก’ มิตเชลล์ และอีกรายคือ ทอม ‘ไอซ์แมน’ คาแซนสกี ตัวละครของ วัล คิลเมอร์ ที่เป็นที่มาของฉากที่เปี่ยมไปด้วยพลัง และเร้าความรู้สึกได้ไม่แพ้ฉากการบินผาดโผนบนท้องฟ้าด้วยเครื่องบินเอฟ-18

กับเหตุการณ์ที่เดินหน้าไปตามเวลาจริง ๆ กว่าสามทศวรรษนับตั้งแต่เรื่องราวในภาคแรก มาเวอริก ไม่เคยมีหน้าที่การงานขยับก้าวหน้า ดักดานอยู่กับการเป็นทหารยศนาวาเอกแห่งกองทัพเรือสหรัฐอเมริกา ที่จะว่าไปแล้วก็บอกเป็นนัย ๆ ถึงอุปนิสัย การใช้ชีวิตของเขา แต่เมื่อไหร่ที่เขาดื้อดึงสุดขั้ว จนตกอยู่ในสภาพพร้อมถูกเตะโด่งออกจากทัพเรือไปตลอดกาล เขายังมีใครบางคนคุ้มกะลาหัว เพื่อนที่กลายเป็นผู้บังคับบัญชา ไอซ์แมน พลเรือเอกและผู้บัญชาการกองทัพเรือในภาคพื้นแปซิฟิก ที่ทำให้มาเวอริกได้ไปต่อ และก็เป็นไอซ์แมนนี่แหละ ที่แนะนำมาเวอริกมาฝึกกลุ่มนักบินท็อปกัน ซึ่งหนึ่งในจำนวนนี้คือ แบรดลีย์ ‘รูสเตอร์’ แบรดชอว์ (ไมลส์ เทลเลอร์) ลูกชายของกูส เพื่อส่งพวกเขาไปปฎิบัติภารกิจท้าตาย ความไม่ลงรอยระหว่างมาเวอริกและรูสเตอร์ ความไม่อยู่ในกรอบระเบียบของมาเวอริก กลายเป็นความน่ารำคาญสำหรับรองผู้บัญชาการซิมป์สัน (จอน แฮมม์) และทุกอย่างดูจะดำเนินไปผิดที่ผิดทาง

กระทั่งไอซ์แมนขอพบมาเวอริก ฉากที่เต็มไปด้วยอารมณ์ ความรู้สึกมากที่สุดของหนัง อดีตคู่ปรับที่กลายมาเป็นเพื่อนพบกันอีกครั้งในบ้านของเพื่อนที่ยศสูงกว่า โดยก่อนหน้านั้น ภรรยาไอซ์แมนบอกกับมาเวอริกว่า โรคร้ายกลับมาเยือนเพื่อนเก่าของเขาอีกครั้ง จนอยู่ในสภาพที่แทบพูดไม่ได้ แต่ครอบครัวเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ และทำให้ไอซ์แมนต้องสื่อสารกับมาเวอริกผ่านคอมพิวเตอร์ เพื่อกระตุ้นให้เพื่อนคนนี้ไปต่อกับภารกิจที่เขาเลือกมาให้ทำ และย้ำให้มาเวอริกรู้ว่าเพื่อนที่ไม่สบายคนนี้อยากให้เขาปล่อยวางความรู้สึกผิดที่ยังคงค้างคาใจ ต่อการเสียชีวิตของกูส ไปซะที…

ฉากนี้จบลงตรงที่ทั้งคู่โอบกอดกัน พูดจาสั้น ๆ ง่าย ๆ แต่กินความหมายมากมาย ก่อนที่ไอซ์แมนจะพูดเล่นมุขปิดท้าย คำถามที่เขาถามมาเวอริกบ่อย ๆ ในหนังต้นฉบับ ฉันกับนาย ใครที่เป็นนักบินที่เจ๋งที่สุด

หลังพบกันได้ไม่นาน ไอซ์แมนก็จากไป โดยไม่จำเป็นต้องพร่ำบอกรายละเอียดของการตายให้มากความ และถึงจะทำให้โอกาสกลับมาของเขาในหนังเรื่องที่สาม (ถ้ามี) หมดไป แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่มีวันจางหายก็คือ ความรู้สึกถึงการกลับมาพบเพื่อนเก่า ในวันเวลาที่พวกเขาไม่ใช่แค่นักบินหนุ่ม แต่มีวุฒิภาวะ และเติบโตจากเดิมมากมาย

หนังสามารถทิ้งตัวละครของคิลเมอร์ไปได้ง่าย ๆ เช่นที่ทำกับชาร์ล็อตต์ แบล็กวูดของเคลลี แม็กกิลลิส ที่ถูกกล่าวถึงยังไม่มี หรือแคโรล แบรดชอว์ของเม็ก ไรอัน ที่พูดถึงสั้น ๆ ว่าจากไปแล้ว ซึ่งไอซ์แมนก็สามารถทำได้ไม่ยากในแบบเดียวกัน แต่นั่นจะเป็นการทำลายหนึ่งในความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครที่สำคัญที่สุดของหนัง ความเป็นเพื่อนซี้ของมาเวอริกกับกูสอาจจะมีผลทางความรู้สึกแบบโดน ๆ แต่การเดินทางจากการเป็นคู่่ปรับ ไปสู่การยอมรับ และความเป็น ‘วิงแมน’ ของแท้ คือความแข็งแกร่ง

คงไม่ใช่เรื่องที่เข้าท่านักหากหนังภาคต่อจะละเลยความสัมพันธ์นี้ เพราะมาเวอริกต้องการใครสักคนจากอดีตมาช่วยจัดการความรู้สึกผิดต่อการเสียชีวิตของกูส ใครบางคนที่อยู่ที่นั่นในตอนนั้น ใครบางคนที่รู้ว่า การเสียวิงแมน ไปมันรู้สึกอย่างไร และในแง่ของเรื่อง การที่ชีวิตของมาเวอริกจะถูกจัดให้เข้าที่เข้าทางโดยไอซ์แมนเป็นเรื่องสำคัญ และในขณะเดียวกันทำไมเขาจะต้องไปฟังคนอื่น?

แต่ที่ทำให้ฉากนี้เต็มไปด้วยพลัง และความคมคายมากขึ้นก็คือ คนทำหนังไม่ลังเลเลยที่เปิดเผยสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงของวัล คิลเมอร์ ที่เป็นมะเร็งลำคอ

ธันวาคม 2017 คิลเมอร์เผยกับเดอะ ฮอลลีวูด รีพอร์เทอร์ว่า เขาเป็นมะเร็งลำคอมา 2 ปีแล้ว ซึ่งส่งผลต่อหลอดลมจนเสียงของเขาขาดหาย พูดไม่ชัด และมีอาการระคายเคือง รวมถึงมีปัญหากับการหายใจ ในหนังสือบันทึกความทรงจำของคิลเมอร์ I’m Your Huckleberry ที่ออกมาเมื่อปี 2020 คิลเมอร์เผยว่า… ยังดีที่เขาปลอดจากมะเร็งร้ายมา 4 ปีแล้ว

เพราะสถานการณ์ในชีวิตจริง ทำให้เมื่อไอซ์แมนพูดกับมาเวอริกใน ‘Top Gun: Maverick’ เสียงไม่ได้ออกมาอย่างที่เคยได้ฟัง และแน่นอนอาจจะทำให้ลำบากใจสำหรับแฟน ๆ ที่ได้ชม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า นี่คือหนึ่งในฉากที่โดดเด่นอย่างที่สุดของหนังภาคต่อเรื่องนี้ ในหนังสือบันทึกความทรงจำ คิลเมอร์ยังบอกเอาไว้ว่า มันคงจะแตกต่างไป เพราะเขาไม่มั่นใจเลยว่า จะกลับมาเป็นไอซ์แมนอีกครั้ง

“ทอมคือมาเวอริก แต่คู่ปรับของมาเวอริกคือไอซ์แมน ทั้งสองคนต้องอยู่ด้วยกันเหมือนเกลือกับพริกไทย” เขาเขียนเอาไว้ “การที่ผู้อำนวยการสร้างไม่ได้ติดต่อผม มันไม่ใช่เรื่องสำคัญเลย ก็อย่างเพลงที่ The Temptations ร้องเอาไว้ในยุครุ่งเรืองของโมทาวน์ ‘อย่าหยิ่งเกินกว่าจะอ้อนวอน’” หากมาเวอริกมีไอซ์แมนเป็นวิงแมน ท้ายที่สุดวิงแมนในชีวิตจริงของคิลเมอร์ก็คือ ทอม ครูซ

“ทอมบอกว่า ‘ผมไม่ทำหนังเรื่องนี้ถ้าไม่มีวัล’ ตอนที่เราถ่ายทำฉากนี้ สำหรับการมีวัลอยู่ตรงนั้น แล้วได้เห็นเขาทำงานกับทอมอีก หลังจากเวลาผ่านไป 35 ปี มันเป็นวันที่เต็มไปด้วยความประทับใจ” เจอร์รี บรักไฮเมอร์ ผู้อำนวยการสร้างของหนังทั้งสองภาค กล่าวกับเดอะ ฮอลลีวูด รีพอร์เทอร์

เมอร์ซีเดสลูกสาวของคิลเมอร์ เสริมด้วยว่า “มันมีความหมายมากมายสำหรับพ่อ เขาภูมิใจกับหนังเรื่องนั้นมาก (Top Gun) นี่คือสิ่งที่พ่อรักที่จะทำ มันเป็นเหมือนความฝัน และเป็นความพิเศษมากๆ สำหรับพ่อ ที่ได้อยู่กับเพื่อน ๆ ที่ทำหนังเรื่องนี้ด้วยกัน ตอนที่ทุกคนอายุเท่าๆ กับฉัน”

แปลและเรียบเรียงจาก: news.yahoo.com

ให้กำลังใจและสนับสนุนเราได้ที่บัญชีธนาคารกสิกรไทย หมายเลข 100-2-10283-4 แล้วแจ้งมาที่กล่องข้อความของเพจ sadaos หรือที่อีเมล shopsadaos@gmail.com เพื่อรับของขวัญแทนน้ำใจ

ติดตามอ่านเรื่องราว ข่าวสาร ชมตัวอย่าง ชมคลิป ชม MV อ่านวิจารณ์หนังและเพลง ได้ด้วยการกดไลค์เพจสะเด่าส์ ได้ที่นี่