ถือเป็นการปิดปี 2013 ที่สร้างความหวั่นไหวให้กับวงการเพลงไม่ใช่น้อย เพราะนอกจากยอดขายอัลบั้มโดยรวมจะลดลงอีกแล้ว หลังปีที่แล้วขยับขึ้นมาเป็นครั้งแรกในรอบหลายๆ ปี ยอดขายของเพลงดิจิตอล หรือการดาวน์โหลดก็ตกลงเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่มีการขายเพลงดาวน์โหลดเป็นต้นมา ขณะที่การให้บริการเพลงสตรีมมิงแม้จะสร้างรายได้ได้ แต่ยอดขายอัลบั้มแทบทุกแนวเพลงกลับลดลง
เพลงดิจิตอลที่ถูกมองว่าเป็นทางรอดของอุตสาหกรรมเพลง หลังจากเจอกับเว็บแชร์เพลงเถื่อนอย่างแนพสเตอร์ มาหลายปี มียอดขายตกลงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่มีการเปิดร้านขายเพลงดิจิตอล ไอทูนส์ สโตร์ในปี 2003 โดยยอดขายเพลงนั้นลดลง 6% ทั้งๆ ที่มีเพลงฮิตขายดีอย่าง Blurred Lines ของโรบิน ธิคที่ขายไปได้เกือบๆ 6.5 ล้านโหลด และ Thrift Shop ของแมคเคิลมอร์แอนด์ไรอัน ลิวอิส ที่ขายได้ถึง 6.1 ล้านโหลด ขณะที่ยอดขายโดยรวมของอัลบั้ม ซึ่งจะรวมยอดขายซีดีด้วย ตกลงจากปีก่อน 8% ส่วนการให้บริการเพลงสตรีมมิงอย่าง ยูทูบ และสปอติฟาย เพิ่มขึ้น 32% มีการฟังเพลงถึง หนึ่งแสนหนึ่งหมื่นแปดพันครั้ง ซึ่งทำรายได้ราวๆ 59 ล้านเหรียญ
ที่น่าสนใจก็คือ การเติบโต ความแข็งแรงของ ยูทูบ และสปอติฟาย รวมไปถึงการให้บริการฟังเพลงสตรีมมิงเจ้าอื่นๆ เป็นตัวการที่ทำลายยอดขายเพลงดิจิตอล ซึ่งเป็นกระแสที่จะแรงขึ้นเรื่อยๆ เห็นได้จากการที่บีทส์ของดร. เดร และยูทูบกำลังจะปล่อยบริการใหม่ออกมาในช่วงเดือนมกราคมนี้ หากยังดีที่รายได้จากโฆษณาในยูทูบ และค่าสมัครสมาชิกแบบพรีเมียมของสปอติฟายเดือนละ 10 เหรียญ พอจะกลับมาเป็นรายได้ให้ศิลปินและค่ายเพลง ชดเชยที่หายไปได้บ้าง แม้จะเพียงแค่บางส่วนก็ตาม
“เรายังไม่อยู่ในจุดผกผัน หรือจุดเปลี่ยน” ทอม คอร์สัน ประธานของบริษัท อาร์ซีเอ เรคอร์ดส์ ที่มีศิลปินอย่าง จัสติน ทิมเบอร์เลคอยู่ในสังกัดกล่าวเมื่อปีที่ผ่านมา โดยตอนนั้น ยังไม่มีการแสดงให้เห็นถึงยอดขายเพลงดิจิตอลที่ลดลงในแบบน่าเป็นห่วง มีเพียงแค่ยอดของการให้บริการสตรีมมิงที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนถูกมองว่าเป็นทางออกใหม่สำหรับธุรกิจเพลง และน่าจะมาแทนการขายได้ในอนาคต “เรายังมองไม่เห็นถึงช่วงเวลานั้น แต่เรามั่นใจว่ามันจะมาถึง”
อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ยอดขายลดลงในปี 2013 ก็น่าจะเป็นเพราะ ไม่มีอัลบั้มขายดีแบบหนักๆ เหมือนอัลบั้ม 21 ของอเดล ที่เป็นแชมป์ยอดขายประจำปี 2 ปีซ้อน กว่า 5.8 ล้านก็อปปีในปี 2011 และอีก 5.2 ล้านก็อปปีในปี 2012 ขณะที่ในปีที่ผ่านมา อัลบั้มขายดีที่สุดก็คือ The 20/20 Experience ของจัสติน ทิมเบอร์เลค แต่ทำยอดได้แค่ 2.4 ล้านก็อปปี ส่วนอันดับ 2 เป็น The Marshall Mathers LP2 ของเอมิเน็ม 1.7 ล้านก็อปปี, ลูค ไบรอัน กับ Crash My Party อันดับ 3 ขายได้ 1.5 ล้านก็อปปี, อันดับ 4 Night Visions ของอิเมจิน ดรากอนส์ 1.4 ล้านก็อปปี และ Unorthodox Jukebox ของบรูโน มาร์ส อันดับ 5 ขายไม่ถึง 1.4 ล้านก็อปปี้
ดูแล้วการโทษบริการเพลงสตรีมมิงว่าทำให้ยอดขายเพลงลดลง จริงๆ แล้วดูง่ายไปหน่อย เพราะเอาเข้าจริงๆ ในปี น่าจะเป็นเพราะไม่มีศิลปินตัวเจ๋งๆ มากกว่า
ขณะที่ดูแยกตามแนวเพลงแล้ว ส่วนใหญ่มียอดขายลดลงยกเว้น อาร์แอนด์บี ที่เพิ่มขึ้น 1.2% ซึ่งต้องยกเครดิตให้อัลบั้มเซอร์ไพรส์ของบียอนเซ่ที่ออกมาในช่วงท้ายปี 2013 และขายไปถึง 1.3 ล้านโหลด กับฮิพ-ฮ็อพ ที่เพิ่มขึ้น 2.2% ต้องขอบคุณยอดขายอัลบั้มใหม่ของเอมิเน็ม และ Magna Carta . . . Holy Grail ของเจย์ ซี ที่มากกว่า 1 ล้านก็อปปี้ โดยยังไม่นับรวมการแจกฟรีไปกับสมาร์ทโฟนตัวใหม่ของซัมซุง
แล้วที่ลืมไม่ได้ก็คือ ขณะที่ธุรกิจเพลงเปลี่ยนจากซีดี มาเป็นดาวน์โหลด และกำลังจะไปเป็นสตรีมมิง ยอดขายแผ่นเสียงก็ยังมี และทำยอดขายได้เพิ่มขึ้น 33% จากปี 2012
จากเรื่อง 2013 ปีแห่งความหวั่นไหว เมื่อยอดขายเพลงดิจิตอลลดลงเป็นครั้งแรก โดย นพปฎล พลศิลป์ คอลัมน์ ดนตรีมีเหตุ หนังสือพิมพ์ไทยโพสท์ วันที่ 17 มกราคม 2557