หลังจากสร้างชื่อให้กับตัวเองด้วยหนังตลาดหุ้นที่ลุ้นระทึกโดยไม่ต้องยิงกันสักแอะ และไม่ต้องฆ่าใครตายอย่าง Margin Call ผู้กำกับฝีมือดี เจ.ซี. แชนเดอร์ กลับมาแล้วกับผลงานใหม่ที่จะส่ง โรเบิร์ท เรดฟอร์ ไปเป็นโดดเดี่ยวกลางมหาสมุทร ในการเดินทางหนีจากนรกบนผืนน้ำ
นี่คือหนังพล็อตที่สามารถอธิบายจบได้ในบรรทัดเดียวว่า “มีโรเบิร์ท เรดฟอร์ดเพียงคนเดียว บนเรือยอทช์ที่กำลังจะจม ในมหาสมุทรอันเวิ้งว้าง” และเมื่อหนังเดินหน้าไปเรื่อยๆ All Is Lost แทบไม่ต้องทำอะไรมากเลยกับการสร้างความน่าสนใจให้กับคนดู
“ผมรู้ดีว่า ผมอยากให้หนังเรื่องนี้ออกมายังไง” ผู้กำกับ/ ผู้เขียนบทของหนัง เจ.ซี. แชนเดอร์ กล่าวถึงหนังเรื่องที่ 2 ในชีวิตของตัวเอง หลังเปิดตัวอย่างงดงามกับ Margin Call นี่คือหนังที่แทบไม่มีบทสนทนาเลยด้วยซ้ำ มีเพียงตัวละครตัวเดียวเพียงลำพัง ในหนังดรามาหาทางรอดชีวิตเรื่องนี้ ซึ่งเขาเลือกนักแสดงซูเปอร์สตาร์วัย 70 ปี โรเบิร์ท เรดฟอร์ด มารับบทกะลาสีที่ต้องใช้ชีวิตโดยพึ่งพาความเมตตาจากมหาสมุทรอย่างที่สุด
“งานของผมคือ ไปที่นั่น แล้วทำให้มันเป็นสถานที่สวยงามที่ได้ไปอยู่ ซึ่งตรงข้ามกับการพยายามเปลี่ยนหนังไล่ล่ายิงกันให้กลายเป็นบางอย่างที่มีความหมาย”
แชนเดอร์ ปฏิเสธงานหลายต่อหลายชิ้นที่มีมาถึงเขา หลังงานชิ้นแรกประสบความสำเร็จ แจ้งเกิดเขาในวงการ และเลือกที่จะทำงานซึ่งเต็มไปด้วยทะเยอทะยานสูง ที่ดูจะเหมาะกับการถ่ายทอดความรู้สึกออกมาเป็นภาพของเขามากกว่า นี่คือหนังที่ขยายขอบเขตของธุรกิจกีฬาแบบเอ็กซ์ตรีม สปอร์ตออกไปอีก และนี่คืองานที่มองในแง่ธุรกิจแล้ว มันดู “ใช้ได้”
หลังจากพา Margin Call ไปอวดในงานเทศกาลภาพยนตร์ ซันแดนซ์ แชนเดอร์ไม่ต้องมองไปไกลเลยสำหรับแรงบันดาลใจสำหรับงานชิ้นต่อไปของตัวเอง เพราะเป็นความคิดที่จะเอาผู้ก่อตั้งเทศกาลภาพยนตร์ที่ว่านี่แหละมาเล่น ให้โรเบิร์ท เรดฟอร์ดซึ่งไม่เคยรับบทเป็นตัวชูโรงอะไรแบบนี้ มาเป็นศูนย์กลางในบทหนังเรื่องต่อไปของเขา แชนเดอร์ดูมีความสุขมากกับการนึกย้อนไปถึงช่วงเวลาที่เกิดแรงดลใจ ซึ่งเป็นตอนที่เขากำลังฟาดมื้อเช้าแบบกินรวบมื้อกลางวันในงานหนังซันแดนซ์ แล้วก็มีเสียงบางอย่างลอยเข้ามา “มันเหมือนเป็นเวียงของพระเจ้า” ลอยเข้ามาผ่านลำโพง “ผมรู้ว่ามันแทบจะเป็นหนังเงียบ และคิดว่าเรดฟอร์ดที่ปราศจากเสียงของเขา ก็ไม่ใช่เรดฟอร์ด”
เห็นได้ชัดว่า ไม่มีบทแบบ The Sting ที่เสนอให้ผู้ดูแลเทศกาลเล่นเลยในช่วงหลายปีก่อนหน้านี้ หลังจากส่งบทให้เรดฟอร์ด แชนเดอร์ถูกเรียกไปลอส แองเจลีสเพื่อประชุมกับเขา ที่นั่นเรดฟอร์ดมีเวลาเหลือเฟือให้เขาได้ทำตัววุ่นวาย กับการนำเสนอหนังด้วยชาร์ท กราฟ หลังจากผ่านไปไม่กี่นาที เขาก็หยุดแชนเดอร์ด้วยคำพูดสั้นๆ “ไปทำหนังเรื่องนี้กัน”
“ผมได้ประชุมกับเขาราวๆ หน – สองหน หรือมากกว่านั้น แล้วก็จบ ดังนั้นมันก็เลยไม่เหมือนกับเขาอยากเล่นมาก แล้วก็ไปทำงานกับผมเลย” แชนเดอร์ เสริม “แต่เห็นได้ชัดว่ามีบางอย่างในหนังเรื่องนี้ ที่ดึงเขามาเล่นได้”
ความน่าเชื่อถือของบทขนาดกระทัดรัดเรื่องนี้ ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของการถ่ายทำฉากบนผืนน้ำ และในตอนนั้นเรดฟอร์ดต้องกำกับและแสดงหนังของตัวเอง The Company You Keep ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงระหว่างการประชุมครั้งแรก และกำหนดเริ่มถ่ายทำของหนัง
การวางแผนการถ่ายทำฉากพายุ ต้องทำกันอย่างพิถีถิถันและกินเวลาถึง 7 สัปดาห์ ก่อนการถ่ายทำที่กินเวลา 30 วันจะเริ่มต้นขึ้น
สถานที่ถ่ายทำของหนัง ต้องยกกองกันไปหลายแห่ง ในมหาสมุทรแปซิฟิค กับแถบทะเลแคริบเบียน รวมไปถึงแทงค์น้ำขนาดใหญ่ที่สุดในโลกที่ บาจา สตูดิโอในเม็กซิโก ซึ่งเจมส์ คาเมรอนสร้างเอาไว้เมื่อครั้งที่ถ่ายทำเรื่อง Titanic สำหรับฉากเสี่ยงๆ ทั้งหลาย ที่ต้องระมัดระวังกันเต็มที่ ที่สำคัญเรดฟอร์กก็มาแบ่งปันความเสี่ยงด้วยการเข้ามาเล่นฉากสตันท์เองด้วยในหลายๆ ฉาก แน่นอนว่า นั่นย่อมทำให้เกิดอาการเกร็ง และกังวลได้ไม่ยาก “ถ้าเขาเจ็บละก็ หนังเรื่องนี้จบได้เลยนะ”
อย่างที่แชนเดอร์ว่าเอาไว้ ความท้าทายแบบสุดๆ ของ All is Lost สำหรับนักแสดงวัย 77 ปีอย่างเรดฟอร์ด ไม่ได้อยู่ที่การแสดงฉากแอ็คชัน แต่เป็นเรื่องของความอึด “การถ่ายทำมันกินเวลานานมาก” แล้วเรดฟอร์ด ก็ไม่ใช่นักแสดงประเภทที่มานั่งงอมืองอเท้า ตอนที่ต้องมาถึงฉากเสี่ยงๆ “มันบ้าเอาเรื่องเลย เขาเล่นฉากพวกนี้เองตั้ง 95% ของทั้งหมด” ผู้กำกับเผย “มีอยู่แค่ 4 และ 5 ช็อต ไม่ใช่ฉากนะ เป็นช็อตๆ จริงๆ เท่านั้นเอง ที่ไม่ใช่เขา ผมขอยกย่องเขาไว้ตรงนี้เลย แต่มันก็มีเรื่องอัตตาของเขาเองด้วย ที่มาเกี่ยวข้องกับตรงนี้ เขามักจะบอกว่า… ‘ผมไม่ให้คนอื่นเล่นแทนผมหรอกฉากนี้!’”
แต่ถึงจะเป็นรุ่นใหญ่ ที่มาพร้อมกับอัตตาแรงกล้า แต่เรดฟอร์ดเองก็รู้ว่า เมื่อไหร่ที่ควรจะเข้าไปเล่นเอง เมื่อไหร่ที่ควรจะถอยออกมา “เขาจะมาที่กอง แล้วไม่พูดเรื่องการกำกับแม้แต่คำเดียว ไม่เคยมานั่งดูมอนิเตอร์ หรือดูภาพที่ถ่ายไปแล้ว เขาตัดตัวเองออกไปจากการทำงานที่ไม่ใช่หน้าที่ของเขา ตอนนี้ผมตระหนักได้เลยว่า อะไรคือพรสวรรค์ที่เขามี ซึ่งทำให้เขามาอยู่ตรงนี้ได้ เพราะว่าเขาเป็นลูกค้าที่อึดมาก ทุกวันนี้ผมกลายเป็นเพื่อนกับเขาไปแล้ว มันฟังดูแปลกๆ ใช่ไหม แต่ตอนที่ถ่ายทำกัน เราไม่ได้ไปกันด้วยดีนักหรอก… ความคิดของผู้กำกับคนหนึ่ง และนักแสดงคนหนึ่ง ทุกๆ วัน เป็นงานประจำที่น่าเบื่อ”
สำหรับแชนเดอร์ ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับจดหมายช่วยชีวิต บรรยายโดยเรดฟอร์ดซึ่งเปิดหนัง นั่นคือจุดเริ่มต้นสำหรับบทภาพยนตร์ ที่เขียนแบบหวัดๆ ระหว่างเขาเดินทางไปตัดต่อหนัง Margin Call
จากหนังที่มีนักแสดงมาเป็นทีม ลุ้นระทึกทุกนาที โดยที่ไม่มีฉากแอ็คชันแม้แต่ฉากเดียว หนนี้แชนเดอร์จะพาคนดูลุ้นระทึกไปกับการเอาตัวรอดให้ได้ของมนุษย์คนหนึ่ง ในวัยที่เป็นไม้ใกล้ฝั่ง จากธรรมชาติผู้แข็งแรง เพียงลำพัง
จากเรื่อง โดดเดี่ยวกลางมหาสมุทร ALL IS LOST โดย ฉัตรเกล้า นิตยสารเอนเตอร์เทนฉบับที่ 1153 วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2557