X-MEN: DAYS OF FUTURE PAST / ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ยุทธหัตถี: การได้ดูหนังเรื่อง X-Men: Days of Future Past ควบกับหนังเรื่อง ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ยุทธหัตถี ทำให้เห็นว่าหนังสองเรื่อง-ซึ่งมองผิวเผินแล้ว ไม่น่าจะมีอะไรเชื่อมโยงกันได้ กลับมีบางสิ่งบางอย่างที่เป็นเหมือนจุดร่วมระหว่างกัน หรืออีกนัยหนึ่ง มันเป็นหนังที่พูดถึงเรื่องของ “อนาคตของอดีต” เหมือนกัน
หมายความว่า-เรื่องหนึ่งตัวละครถูกส่งจากโลกอนาคตเข้าไปแก้ไขอดีตเพื่อว่า อนาคตของอดีต หรืออีกนัยหนึ่ง ปัจจุบัน จะไม่ได้อยู่ในสภาพสิ้นหวังเหมือนกับที่กำลังเผชิญ ส่วนอีกเรื่อง หนังพาผู้ชมย้อนอดีต (เป็นรอบที่ห้า) กลับไปเฝ้าติดตามตัวละครที่พยายามกำหนดอนาคตของราชอาณาจักรของตัวเอง ซึ่งสำหรับผู้ชม มันเป็นเหตุการณ์ในอดีตที่เป็นเรื่องที่รับรู้เป็นอย่างดีว่า “วีรกรรม” ครั้งกระนั้นส่งผลให้อโยธยา ศรีรามเทพนคร-ปลดแอกตัวเองจากการเป็นเมืองขึ้นของกรุงหงสาวดีอย่างสมบูรณ์ และนำพาให้บ้านเมืองปลอดจากการศึกสงครามนับร้อยปี
แต่จนแล้วจนรอด หนังทั้งสองเรื่องก็แทบจะยืนอยู่กันคนละขั้วของสเปคตรัม (โดยเฉพาะในแง่ของคุณภาพ) เรื่องหนึ่งดำเนินเนื้อหาที่ซับซ้อน และคาดเดาได้ยากว่ามันกำลังจะมุ่งหน้าไปในทิศทางใด อีกเรื่องกลับตื้นและง่าย และผู้ชมล่วงรู้บทสรุปตั้งแต่หนังยังไม่สร้าง อีกทั้งยังไม่มีอะไรอยู่เหนือความคาดหมายของผู้ชม
เรื่องหนึ่งนำเสนอตัวละครที่ลุ่มลึก สะท้อนถึงความเป็นปุถุชน (ทั้งๆที่โดยสถานะเป็นเพียงมนุษย์กลายพันธุ์) และหลายครั้งหลายครา เราหยั่งไม่ได้ด้วยซ้ำว่า เขาและเธอเหล่านั้นจะ react ต่อเหตุการณ์ยุ่งยากเบื้องหน้าอย่างไร อีกเรื่องกลับนำเสนอให้เห็นตัวละครแบบขาวจัด ดำจัด และผู้ชมไม่ประสบความยากลำบากแม้แต่น้อยนิดในการแยกแยะว่าใครดี ใครเลว อันที่จริงๆ ในขณะที่พระเอกของเรื่องหน้าตาหล่อเหลา รูปร่างกำยำล่ำสัน ไบเซ็พและไตรเซ็พ รวมไปถึงซิกซ์แพ็ค-ดูแข็งแกร่งและแน่นหนา สมกับภาพลักษณ์ของวีรบุรุษในจินตนาการ (ข้อความในวงเล็บนี้อ่านข้ามไปได้ แต่อยากจะแทรกว่า ถ้าเส้นเรื่องของหนังแข็งแกร่งและแน่นหนาเท่ากับซักครึ่งหนึ่งของมัดกล้ามของตัวเอกของเรื่อง หนังก็คงจะเข้มข้นและชวนติดตามยิ่งกว่านี้ไม่น้อย) ตัวร้ายในหนังถึงกับมีรูปโฉมอันแสนอัปลักษณ์ และต้องปกปิดดวงหน้าของตนเอาไว้ภายใต้หน้ากากขาวที่บ่งบอกถึงความไม่เป็นผู้เป็นคนของตัวละคร มิหนำซ้ำ การแสดงออกก็ยิ่งตอกย้ำถึงความเป็นผีห่าซาตาน
และเหนืออื่นใด เรื่องหนึ่งโชว์ให้เห็นซีจี ที่ได้เห็นแล้วก็ทำให้อ้าปากค้างและแทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง ปรากฏว่า อีกเรื่อง-ก็โชว์ซีจีในระดับที่เห็นแล้วก็ทั้ง ‘อ้าปากค้าง’ และ ‘แทบจะไม่เชื่อสายตัวเอง’
โอเค มันไม่แฟร์ที่จะนำหนังที่สร้างเพื่อฉายให้คนดูทั้งโลก ไปเปรียบกับหนังที่สร้างเพื่อให้ฉายให้คนดูเฉพาะสยามประเทศ โดยเฉพาะในส่วนของงานสร้างและเทคนิคพิเศษทางด้านภาพ แต่ก็อีกนั่นแหละ มันเกินเลยความคาดหมายไปเยอะจริงๆ สำหรับซีจีของเรื่องหลังที่คุณภาพของมันทำให้เผลอนึกไปได้ว่ากำลังดูละครจักรๆวงศ์ๆ ทางช่องเจ็ดสีเรื่อง “สิงหไกรภพ” หรือ “พระทิณวงศ์”
โดย ประวิทย์ แต่งอักษร ที่มา https://www.facebook.com/prawit.taeng/posts/315527255265025