มันเปลี่ยนมาก: เข้าไปดูแบบเปลี่ยวๆ สมชื่อ จำนวนมนุษย์ที่อยู่ในโรงไม่เกินห้าคน ฝนโปรยนอกโรงส่งผลให้ภายในแอร์เย็นเฉียบ ข้างซ้ายมีชายหญิงอยู่อยู่หนึ่ง ด้านหลังมีหญิงเดี่ยว และสุดท้ายเป็นชายอีกคนนั่งอยู่ด้านหน้า ถ้านับให้ดีจะพบว่ามีเพียงสี่ ก็ถูกแล้วที่บอกว่าไม่เกินห้าคน
หนังเรื่องนี้ว่าตามตรงมันคือหนังสั้น 4 เรื่องครึ่ง ที่รวมหัวกันฉายเป็นเรื่องเดียว แต่ละตอนไม่มีความเกี่ยวข้องกันทางความสัมพันธ์ แค่หยิบยืมเรื่องลี้ลับจากเรื่องอื่นมาใช้ เพราะปูพื้นความเข้าใจเอาไว้ตั้งแต่เรื่องก่อนหน้าแล้ว
.5 เริ่มต้นมาด้วยเรื่องสั้นที่บอกอารมณ์โดยรวมของหนัง ซึ่งดูแล้วแปลกตา แปลกใจ แต่ไม่ “ติด” อะไรมากนัก จบแล้วเข้าใจอะไรได้พอประมาณ
เรื่องที่ 1. GPS ซึ่งทำให้เข้าใจว่ามันเปลี่ยวมากเรื่องนี้ คือหนังแฟนตาซีเต็มที่ ดังนั้นควรเก็บตรรกะไว้ที่บ้าน ดูไปก็หงุดหงิดหลายสิ่ง แต่ก็ทำใจโยนทิ้งไป จนกระทั่งจบเรื่องแบบหักมุม หึ หึ เหนื่อยใจกับหลายอย่างที่หนังพยายามจะนำพาไป
เรื่องที่ 2. จ่าเฉย การก่อร่างสร้างเรื่องนั่นน่าสนใจ แต่มันเริ่มจากความไม่เข้าใจในพฤติกรรมของตัวละคร ไปเจอความไม่เข้าใจอีกตัว อีกตัว และงงสุดกับตัวละครจ่าเฉยที่โผล่เข้ามาตามจับพระเอก พอมาตั้งสติคิดเชื่อมโยงก็พบว่าตัวละครทุกตัวนั้นมีอะไรบางอย่าง แต่ไม่เข้าใจว่าอะไร สุดท้ายท้ายพระเอกจงใจหนีจ่าเฉยไปไกลถึงเมืองนอกซึ่งจะเป็นจีนหรือสิงคโปร์หรือสักที่ ก็หนีไม่พ้นจ่าเฉยตามไปทวงของคืนจนได้ ทุกอย่างตั้งใจให้เกิดขึ้นแน่ จะซับซ้อนมากน้อยนั้ันแล้วแต่ผู้ชมจะเชื่อมโยง
เรื่องที่ 3 ถั่วงอก น่าจะเป็นเรื่องที่ดีที่สุด ลื่นไหล มีไหวพริบ การแสดงรับส่งของแต่ละคนสนุกสนาน เล่นกับการสร้างความเชื่อ สั่นคลอน ทำลาย และสร้างขึ้นมาใหม่ แต่…พอบอกให้โยนตรรกะความจริงทิ้งไปตั้งแต่เรื่องแรกๆ การที่ตุ๊กตาจะมีกี่ตัวนั้น มันไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไป สุดท้ายความพยายามจะสร้างช่วงเวลาต้องมนต์จึงเป็นเพียงแค่รอยสะดุดทางความคิด
เมื่อผ่านมาสามเรื่องครึ่ง หนังก็นำพามาถึงเรื่องสุดท้าย จูนเจอตอนไหน ที่ตัวละครหลักคือผีศาลเจ้ากัดไม่ปล่อย ดูไปสักพักก็เกิดคำถามว่า นั่นสิคนดูจะจูนเจอตอนไหน เก็ตกับอะไร เป็นตอนสุดท้ายที่บ่งบอกให้รู้ว่าที่ดูอยู่ทั้งหมดนี่เป็นการจัดฉาก สร้างเหตุการณ์เพื่อจะบอกอะไรสักอย่างกับคนดู โจรในคุก โจรปล้นเงิน ผีศาลเจ้า ตัวละครแต่งตัวประหลาด ทุกสิ่งมันต้องมีที่มาที่ไป ปัญหาคือ อะไร
โดยรวมหนังดูได้เพลินๆ ทุกเรื่อง เพียงแต่การจะสร้างหนังขึ้นมาเพื่อพูดอย่างหนึ่งโดยนำเสนอด้วยโลกเหนือจริง มันดูพยายามมากเกินไป นึกย้อนกลับไปถึงหนังจิกกัดการเมืองอย่าง เมล์นรกฯ ที่เรื่องราวหลักนั้นขับเคลื่อนไปด้วยเหตุและผล แต่อีกด้านหนึ่งก็ทำตัวเป็นแบบจำลองสภาพการเมืองได้อย่างเจ็บแสบ ความสำเร็จนั้นเกิดขึ้นได้เพราะเรื่องหลักที่ดำเนินไปนั้นน่าสนใจ
ชื่นชมในความกล้า แต่ไม่ตลกด้วยกับการเสียเงินแปดสิบบาทเพื่อไปดูการทดลอง อย่างไรก็ตามความตั้งใจผลิตก็ทำให้จำนวนเงินนั้นคุ้มค่าพอสมควร ปัญหาหลักจึงอยู่ที่เนื้อหาหลักที่ได้ดูนั้นมันสร้างความสนุกสนานได้มากน้อยแค่ไหน ไม่ใช่การจะใส่สัญญะนั่นนี่ให้คนรู้ ให้คนคิด ให้เดากันไปแล้วละทิ้งเรื่องราว ถึงจะเรียงร้อยสิ่งต่างๆ ได้ดูฉลาด แต่ไม่ใช่คนดูทุกคนจะเกิดปัญญาได้ภายในช่วงเวลาของหนัง ยิ่งซับซ้อน ยิ่งต้องคิดเยอะ ขณะที่เวลาไม่ถึงสองชั่วโมงในโรงไม่ได้เอื้อให้ทำเช่นนั้น และเมื่อผู้สร้งทอดทิ้งคนดู อาการเปลี่ยวมากในโรงจึงเกิดขึ้น และผู้สร้างก็คงเสียวสันหลังวูบวาบเช่นกัน
โดน ริญญา ทวีสกุล