เอวังฯ: ความท้าทายในระดับสองเด้งของหนังเรื่อง “เอวังฯ” ของคงเดช จาตุรันต์รัศมี อยู่ตรงที่-หนึ่ง มันเป็นหนังสารคดี ซึ่งดูเหมือนว่าจนกระทั่งปัจจุบัน ความเชื่อที่ว่านี่เป็นรูปแบบการนำเสนอเนื้อหาที่แห้งแล้ง, จืดชืด และปราศจากชีวิตชีวา และโรงหนังไม่ใช่สถานที่เผยแพร่หนังประเภทนี้-ก็ยังคงเป็นทัศนคติที่ยากจะลบเลือน และสอง มันเกี่ยวข้องกับศาสนา หรือระบุให้ชัดๆ เด็กกับพุทธศาสนา ซึ่งหากเทียบเป็นสมการในทางคณิตศาสตร์ มันก็แทบจะเท่ากับคำว่า “น่าเบื่อ” ยกกำลังสอง นั่นเอง
แต่หนังสารคดีเรื่อง “เอวังฯ” ก็พิสูจน์ให้เห็นว่าความเชื่อ และ/หรือ สมมติฐานทั้งสองข้างต้น-ใช้การไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง จริงๆก็เคยได้กล่าวไว้ในข้อเขียนอื่นๆหลายครั้งแล้ว และคงต้องพูดซ้ำอีกรอบว่า ความได้เปรียบของหนังสารคดีที่มีอยู่เหนือกว่าหนังแนวบันเทิงคดีอยู่ตรงที่คนทำหนังได้ “พระเจ้า” หรืออะไรก็ตามที่มนุษย์ควบคุมไม่ได้-มาร่วมเขียนบทหนังด้วย และนั่นทำให้ทั้งคนทำหนังและรวมถึงผู้ชมไม่อาจหยั่งรู้ดินฟ้าได้อย่างร้อยเปอร์เซนต์ และฝีมือในการเขียนบทของ “อะไรก็ตาม” ในหนังเรื่องนี้-ก็ยังคงจัดจ้านและไม่ทำให้ผิดหวังเหมือนเคย อีกทั้งส่วนที่นับได้ว่าเป็น “ดราม่า” ของหนังเรื่อง “เอวังฯ” โดยเฉพาะในตอนที่มันเกิดขึ้น ซึ่งน่าเชื่อว่าเป็นอะไรที่ตัวผู้กำกับจัดฉากขึ้นมาเองไม่ได้-ก็ทรงพลัง และถูกนำเสนออย่างมีรสนิยม และที่พิเศษยิ่งไปกว่านั้น-ก็ตรงที่คนทำหนังแสดงออกว่า “ตื่นรู้” อยู่ตลอดเวลา หรืออย่างน้อย ก็ไม่ได้พาตัวเองตกลงไปในกับดักหรือหลุมพรางของการเป็นหนังสารคดีเผยแผ่ศาสนาอย่างหน้ามืดและงมงาย
อันที่จริง มันทั้งตั้งคำถามและรวมถึงวิพากษ์วิจารณ์ หรือแม้แต่เหน็บแนมความล้มเหลวของการเรียนการสอนวิชาพุทธศาสนาในแบบที่ใครได้มาเห็นก็คงจะคล้อยตาม และที่ต้องชื่นชมก็ตรงที่มันไม่ใช่การพูดด้วยท่าทีที่แข็งกร้าวหรือดุดัน
อย่างที่ข้อมูลระบุไว้ “เอวังฯ” เป็นหนังสารคดีที่่ต่อยอดมาจากรายการแนวเรียลลิตี้ภายใต้ชื่อที่เรียกว่า “สามเณรปลูกปัญญาธรรม” แน่นอนว่า-ระยะเวลาฉายไม่ถึงชั่วโมงครึ่งของหนัง คงจะไม่สามารถปลูกปัญญาธรรมให้กับผู้ชมได้แต่อย่างใด แต่อย่างน้อย ธรรมะประการหนึ่งที่สาธุชนเรียนรู้ได้จากหนังนี้-ก็คือ ชีวิตไม่ได้เป็นเรื่องตายตัวหรือสำเร็จรูปเหมือนกับรายการเรียลลิตี้โชว์
โดย ประวิทย์ แต่งอักษร
ให้กำลังใจด้วยการคลิกไลค์เพจสะเด่าส์ได้ง่ายๆ ที่นี่