47 RONIN: พูดกันอย่างแฟร์ๆ หนังเรื่อง 47 ronin ของคาร์ล รินช์ก็บอกเล่าในสิ่งที่ไม่ได้แตกต่างไปจากเวอร์ชั่นคลาสสิคของเคนจิ มิโซกูชิที่ใช้ชื่อคล้ายกัน (The Forty-Seven Ronin สร้างปี 1941) และนั่นก็คือตำนานความกล้าหาญของโรนิน หรือซามูไรกำพร้าขุนศึกทั้ง 47 คน ที่รวมตัวกันแก้แค้นให้กับนายเหนือหัวของตน
แต่ความละม้ายคล้ายคลึงกันของหนังทั้งสองเรื่องก็จบลงตรงนั้น เพราะในขณะที่ฉบับของมิโซกูชิ ให้ความสำคัญกับขนบธรรมเนียมปฏิบัติ พิธีกรรม ตลอดจนบรรยากาศซึ่งทั้งหมดทั้งมวล มีส่วนหล่อหลอมให้ผู้ชมตระหนักและเข้าอกเข้าใจถึงความห้วงคิดคำนึงของตัวละคร
หนังของคาร์ล รินช์แตะต้องทุกสิ่ง อย่างฉาบฉวย ตื้นเขิน และเข้าไม่ถึงจิตวิญญาณของความเป็นญี่ปุ่นแม้แต่กระผีกริ้น และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง แก่นแกนของมันที่พูดถึงความหมายของเกียรติยศ ศักดิ์ศรี และการเสียสละอันใหญ่หลวง และมันส่งผลให้ผู้ชมไม่รู้สึกซาบซึ้ง สะเทือนอารมณ์ และจดจำวีรกรรมอันยิ่งใหญ่และห้าวหาญเหล่านั้นอย่างที่ตัวเนื้อเรื่องมุ่งหวังจากผู้ชม นั่นยังไม่นับการเลือกคีอานู รีฟส์มารับบทนำของเรื่อง ซึ่งหนังต้องหาให้เหตุผลมาอธิบายหรือแก้ตัวพัลวันถึงการที่จู่ๆ ก็มีฝรั่งมาปะปนอยู่ในยุคสมัยของราชวงศ์โตกุกาวะ
แต่ก็อีกนั่นแหละ ในขณะที่โอกาสเปิดกว้างให้หนังเรื่องนี้สร้างความอับอายขายหน้าให้กับตัวเองทุกหนทาง มันก็กลับเล่าได้เรื่องตามสูตรสำเร็จได้สนุกตามอัตภาพ (อย่างน้อย ใครที่ย้อนกลับไปดูหนังของมิโซกูชิตอนนี้-ก็อาจจะพบว่า นอกจากมันเดินเรื่องช้าถึงช้ามาก และกินเวลาฉายเกือบสี่ชั่วโมง มันยังจะกลายเป็นยานอนหลับขนานแรง) พูดง่ายๆ ว่าถ้าสมมติว่าญี่ปุ่นในหนังเรื่องนี้เป็นซักเมืองหนึ่งในจินตนาการ และมันไมได้ยึดโยงอยู่กับตำนานอันที่เป็นโจษขานยาวนาน มันก็เป็นหนังแอ็คชั่นแฟนตาซีที่ไม่เลว งานด้านซีจี.เสกสมรสกับระบบสามมิติได้อย่างเหมาะเจาะทีเดียว และคนทำหนังก็ไม่ได้ถึงกับเสพติดหรือหมกมุ่นอยู่กับฉากการต่อสู้ชนิดไม่ยอมให้จบลงง่ายๆ และมันเป็นหนังที่ดูกะทัดรัดใช้ได้
รวมทั้งขณะที่นักแสดงชาวญี่ปุ่นพูดภาษาอังกฤษได้กระท่อนกระแท่น แต่ก็ไม่ได้เป็นบาดแผลแต่อย่างใด และการเฝ้าติดตามการแสดงอันเข้มข้นของนักแสดงญี่ปุ่นแถวหน้าอย่าง ฮิโรยูกิ ซานาดะ, น้องรินโกะ คูคิชิ (Babel, Pacific rim) และทาดาโนบุ อาซาโน่ ซึ่งรับบทตัวร้ายของเรื่อง-ก็ช่างเพลิดเพลิน และกลายเป็นว่าหนังจะเริ่มเข้าสู่โหมดน่าเบื่อ (และน่ารำคาญ) ทุกครั้งที่คุณพี่คีอานู รีฟส์ปรากฏตัว ซึ่งกลายเป็นคนที่เอื้อนเอ่ยวาจาได้ ‘โมโนโทน’ และกระท่อนกระแท่นที่สุดในเรื่อง
โดย ประวิทย์ แต่งอักษร