‘Dune’ เป็นนิยายวิทยาศาสตร์ระดับตำนานของแฟรงค์ เฮอร์เบิร์ต ที่ตีพิมพ์ในปี 1965 ที่เรื่องราวว่าด้วยโลกอนาคตที่การปกครองในจักรวาลเป็นระบบศักดินา บรรดาขุนน้ำขุนนางจะได้ควบคุมดาวเคราะห์ต่าง ๆ ตามที่ได้รับมอบ ศูนย์กลางของเรื่องคือ ตระกูลอะเทรเดส หรือจะให้จำเพาะเจาะจงลงไปก็คือ พอล อะเทรเดส (ทิโมธี ชาลาเมต์) ทายาทหนุ่มของตระกูล ที่ครอบครัวถูกจักรพรรดิส่งไปดูแลดาวเคราะห์ อาร์ราคิส ดินแดนที่เต็มไปด้วยทะเลทราย และชนพื้นเมืองก็ไม่เป็นมิตรนัก แต่เป็นแหล่งผลิต ‘สไปซ์’ ที่มีความสำคัญในการเดินทางข้ามดวงดาว รวมทั้งดำรงความเยาว์วัยให้ผู้ใช้ แทนตระกูลฮาร์คอนเนน ซึ่งเป็นคู่ปรับกับบ้านอะเทรเดส โดยจักรพรรดิตั้งใจจะจัดการกับพวกอะเทรเดส ที่ถูกมองว่ากำลังจะกลายเป็นภัยคุกคามต่อบัลลังก์
เลโท อะเทรเดส (ออสการ์ ไอแซ็กส์) ผู้นำของอะเทรเดสรู้ว่านี่คือกับดัก แต่ก็ต้องปฏิบัติตามคำสั่ง และการเดินทางครั้งนี้ก็ทำให้ลูกชายของเขา – พอล ได้ค้นพบตัวเอง ทั้งในแง่ของความสำคัญที่มีต่อดาวดวงนี้ และพวกเฟรแมน – ชนพื้นเมืองของอาร์ราคิส ที่ถูกกดขี่ และถูกตัดตอนวิวัฒนาการ เพราะความต้องการ ‘สไปซ์’ ทำให้ต้องอยู่กับความแห้งแล้ง ตลอดจนความสามารถของตัวเอง และได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ
ด้วยเรื่องราว ‘Dune’ มีความขัดแย้งที่น่าสนใจมากมาย ทั้งในแง่มุมการเมือง เมื่อการเดินทางมาอาร์ราคิสของพวกอะเทรเดส เป็นไปตามเล่ห์กลในการปกครอง, เรื่องของความเชื่อ ทั้งที่เป็นไปในตระกูลอะเทรเดส ที่แม่ของพอล – เจสซิก้า (รีเบ็กก้า เฟอร์กูสัน) เป็นพวกเบเน เจสเซริต ที่มีความสามารถลึกลับแล้ว ยังมีเป้าหมายทางการเมืองบางอย่าง และความซับซ้อนในตัวพอล อะเทรเดส ที่ถูกวางตัวในหลากหลายรูปแบบ ทั้งผู้นำตระกูล ที่ถูกสอนสั่งวิทยาการต่าง ๆ ทั้งบู๊และบุ๋น ผ่านผู้คนที่อยู่รายรอบพ่อ ส่วนแม่ก็สอนให้เขาใช้พลังอำนาจพิเศษตามความเชื่อของเบเน เจสเซริท แล้วกับเฟรแมน ก็ถูกมองว่าเป็นผู้กอบกู้ของพวกเขา
นอกจากแง่มุมความขัดแย้ง ความซับซ้อนของทั้งตัวละคร และความสัมพันธ์ที่มีมากมายแล้ว เนื้อหาของ ‘Dune’ ก็เหมือนเป็นอุปมา-อุปมัย หรือแสดงนัย ต่อความเป็นไปในโลกช่วงเวลานั้น สไปซ์ก็ทำให้นึกถึงยากล่อมประสาท หรือพันธุ์ไม้ที่ทำให้จิตล่องลอย ไม่ว่าจะเป็นกัญชา หรือว่าเห็ดเมา ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในยุคนั้น ที่ได้ชื่อว่าเป็นยุคบุปผาชน, การเข้าไปมีอำนาจในดินแดนต่าง ๆ ของประเทศมหาอำนาจ ด้วยการสร้างความขัดแย้งเพื่อปกครอง และตักตวงผลประโยชน์โดยไม่ใส่ใจ ให้ความช่วยเหลือกับดินแดนเหล่านั้นจริง ๆ ที่ทำให้การเข้าไปมีบทบาทในตะวันออกกลางของประเทศมหาอำนาจ ซ้อนทับกับเหตุการณ์ใน ‘Dune’ ซึ่งชนเผ่าเฟรแมน ให้ความรู้สึก หรือมีบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้นึกถึง ผู้คนในดินแดนตะวันออกกลาง ที่กลายเป็นแหล่งน้ำมันของโลก, เรื่องกลุ่่มผู้นำความเชื่อทางศาสนาที่เข้ามามีส่วนในทางการเมือง
ทั้งหมดทั้งมวล ทำให้ ‘Dune’ น่าสนใจ น่าติดตาม แต่ในเวลาเดียวกัน ก็ยากเหลือเกินกับการทำเป็นภาพยนตร์ จากความละเอียด ซับซ้อนที่มี ซึ่งความพยายามก่อน ๆ มีทั้งที่ปั้นไม่สำเร็จ ที่ทำได้ก็เป็นความล้มเหลว ส่วนที่ดีที่สุดก็เป็นงานมินิ-ซีรีส์ ไม่ใช่ภาพยนตร์
กระทั่งงานฉบับนี้ เดนิส วิลล์เนิฟ ถือว่าทำออกมาได้เนี้ยบ การแสดง – ไม่ใช่แค่ได้นักแสดงชั้นดีมารับบท แต่ละคนก็ทำหน้าที่ได้เยี่ยมยอด กระทั่งชาลาเมต์ ที่ส่วนตัวแล้วมองว่าดูอ้อนแอ้น หรือนุ่มนิ่มเกินไป สำหรับคนการเป็นพอล ใช่ที่ชาลาเมต์เริ่มต้นในแบบที่มองไว้จริง ๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไป เขาก็ค่อย ๆ แสดงให้เห็นความแข็งแกร่งที่เพิ่มมากขึ้นของตัวละครสำเร็จ รวมถึงรับรู้ถึงความขัดแย้ง และความซับซ้อนในตัว อีกคนที่งานได้โดดเด่นก็คือ เฟอร์กูสัน ซึ่งเลดี้เจสสิก้าของเธอมีรัศมีบางอย่าง ที่สัมผัสถึงความ ‘ยิ่งใหญ่’ ตลอดจนลับลมคมในที่ซ่อนไว้
เดฟ บัวติสต้า ที่งานในช่วงหลัง ๆ เห็นได้ชัดว่า เป็นนักแสดงแอ็กชั่นที่ทำงานดรามาได้ดี ซึ่งการแสดงใน ‘Dune’ อาจเป็นแค่ส่วนหนึ่งที่เขาเคยทำได้ ผิดกับเจสัน โมมัว ที่ให้ได้มากกว่าที่เห็นกันใน ‘Aquaman’ เหลือเกิน ซึ่งต้องดูกันต่อว่า บัวติสต้า จะเติมอะไรให้หนังได้อีก
โปรดัคชั่นก็เยี่ยม ตั้งแต่การออกแบบงานสร้าง ที่ทำให้ดาวเคราะห์ต่าง ๆ ผู้คนหลากหลาย และสัตว์ประหลาดที่น่าพรั่นพรึง ‘หนอนทราย’ มีชีวิต การดีไซน์ชุด อุปกรณ์ต่าง ๆ ทำได้อย่างมีเอกลักษณ์ และเสน่ห์ โดยเฉพาะอากาศยานที่มีลักษณะเดียวกับแมลงปอ หรือชุดทะเลทราย งานดนตรีประกอบของฮานส์ ซิมเมอร์ ที่ ‘ฝัง’ อยู่ในเรื่องหรือหนัง มากกว่าจะโดดเด่นเคียงคู่กัน แบบที่เคยเป็นในงานของคริสโตเฟอร์ โนแลน
ด้วยงานด้านภาพและเสียงขนาดนี้ การชมในไอแม็กซ์ น่าจะเป็นตัวเลือกที่ถูกต้องที่สุด
บท… หนังที่ได้ชื่อว่าเป็น ‘ตอนแรก’ ปูทุกอย่างเอาไว้ให้พร้อม แนะนำผู้ชมให้รู้ทุกอย่างที่จำเป็น โดยมีปมให้ติดตามทั้งในเรื่องของตัวเอง และที่จะสานต่อออกไป
หากก็ต้องยอมรับว่า ช่วงแรก ๆ ของ ‘Dune’ ไม่ใช่งานที่บันเทิงนัก เมื่อเต็มไปด้วยตัวละครหลากหลาย ซึ่งแต่ละรายก็ ‘เหมือน’ จะมีความสำคัญไปหมด มีช่วงทัวร์เก็บสไปซ์ ที่ชวนเงิบ แต่เมื่อความขัดแย้งมาถึงจุดแตกหัก ‘Dune’ ก็ขยับเป็นความบันเทิงได้ดีขึ้น และน่าจะทำให้อยากรับรู้เรื่องราวที่จะตามมา
ส่วนเนื้อหา ตัวละคร หรือรายละเอียด ที่ดูไม่มีอะไรใหม่-สด เพราะเห็นกันมาหมดแล้วในหนังไซ-ไฟ หลาย ๆ เรื่องก่อนหน้า ก็อย่าลืมนึกไปถึงต้นทาง ซึ่งเป็นนิยายวิทยาศาสตร์ปี 1965 ที่ส่งอิทธิพลให้งานไซ-ไฟมากมายตามมา ไม่ว่าจะเป็น ‘Star Wars’, ‘Star Trek’
‘Dune’ ไม่ใช่แค่ตัวพ่อ แต่เป็นถึงอสุจิที่ไปถึงรังไข่แล้วกลายเป็นมนุษย์คนแรกของงานไซ-ไฟ ก็ว่าได้
โดย นพปฎล พลศิลป์ คอลัมน์ ชำแหละแผ่นฟิล์ม นิตยสารเอนเตอร์เทน ฉบับที่ 1339 ปักษ์แรกพฤศจิกายน 2564
ติดตามอ่านเรื่องราว ข่าวสาร ชมตัวอย่าง ชมคลิป ชม MV อ่านวิจารณ์หนังและเพลง ได้ด้วยการกดไลค์เพจสะเด่าส์ ได้ที่นี่