สานต่อเรื่องราวจากภาคที่แล้ว ซึ่งเคลมว่าเป็นภาคต่อที่เชื่อมท่อตรงจากงานต้นฉบับของจอห์น คาร์เพนเทอร์ ที่กลายเป็นต้นแบบของหนังเชือดในยุค 80s ที่ลอรี สโตรด (เจมี ลี เคอร์ทิส) จัดการวางกับดักล่อไมเคิล ไมเยอร์ส ที่กลับมาบ้านเกิดเพื่อจัดการกับเธอ ให้มันติดอยู่ในกองไฟได้สำเร็จ โดยที่ตัวเองเจ็บหนัก และถูกนำส่งโรงพยาบาลโดยลูกกับหลานสาว
ที่แน่นอนว่า ไมเยอร์สต้องไม่ตายและหาทางรอดมาจากกองไฟ แล้วก็มีเหยื่อให้รอเชือดในทันทีที่มันหลุดออกมา แล้วก็ดาหน้าล่าเหยื่อต่อไป
หนังไม่ได้มีเพียงคู่แค้นสายโลหิตคู่นี้ แต่ยังเปิดประเด็นตัวละครอีกกลุ่มที่รอดตายจากฮาโลวีนสังหารครั้งแรกได้สำเร็จ รวมทั้งแฟรงค์ ฮอว์คินส์ (วิลล์ แพ็ตทัน) เจ้าหน้าที่ซึ่งในเหตุการณ์ครั้งนั้น นอกจากจะพลั้งมือยิงเพื่อนร่วมงาน แทนที่จะเป็นไมเคิล ยังปกป้องฆาตกรโหดรายนี้จากการถูกฆ่าโดยหมอแซมวล ลูมิส จนมันมีชีวิตจนถึงทุกวันนี้
เมื่อรู้ว่าไมเคิลยังไม่ตาย เหล่าผู้รอดตายจากอดีตจึงตัดสินใจรวมพลผู้คน ออกล่า หาทางจัดการกับมันโดยใช้ศาลเตี้ย เพื่อยุติความหวาดกลัวของชาวเมือง ที่กลายเป็นพัฒนาการที่โดดเด่นอย่างที่สุดของหนังภาคนี้ เมื่อผู้คนที่เคยอยู่แต่ในบ้าน ถูกไมเคิลจัดการเชือดรายแล้วรายเล่า หันกลับมารวมพลังสู้กับมัน ในแบบที่ปิดเมืองล่า ที่ไมเคิลเองระหว่างเดินทางมายังจุดหมายที่คิดไว้ ก็จัดการเหยื่อเป็นเบี้ยบ้ายรายทางมาตลอด
นอกจากจะบ่งบอกถึงความเปลี่ยนแปลงของผู้คนแล้ว การลุกฮือขึ้นมาจัดการกับไมเคิล ยังแสดงถึงการท้าทายกฎหมายที่กลายเป็นสิ่งไร้ค่า เมื่อต้องนำมาใช้กับฆาตกรโรคจิตรายนี้ ทั้งในแง่ตัวบทกฎหมาย ทั้งในแง่ของผู้บังคับใช้กฎหมาย ที่การระดมพลครั้งนี้ ยังนำไปสู่ความโกลาหลจนมีผู้บริสุทธิ์ หรือคนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ต้องจากไป ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นไปในสังคมแบบเฮไหนเฮนั่น โดยไม่มีการค้นหาความจริง หรือให้รู้แน่ชัดก่อนว่าอะไรเป็นอะไร ที่เทียบเคียงไปได้ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนโลกโซเชียลที่สัก ๆ แชร์โน่นนี่นั่นกันไป
ส่วนที่เหลือนอกจากนี้ก็คือ สิ่งที่เห็นกันเป็นประจำในหนังชุดนี้ โดยเฉพาะการตายของเหยื่อแต่ละราย ที่ดันเอาตัวรอดจากไมเคิลที่แสนเชื่องช้าไม่ได้ โดยพาตัวเองไปอยู่ในมุมอับ หรือทำอะไรโง่ ๆ จนตัวตาย ที่ทำให้ฉากการจากไปของพวกเขาและเธอ กลายเป็นฉากโหดที่เจือด้วยอารมณ์ขัน กลายเป็นเรื่องตลกร้ายในคราวเดียวกัน ที่บางครั้งก็อดรำคาญ หรืออุทานขึ้นมาไม่ได้เหมือนกันว่า ทำไมถึงทำอะไรที่งี่เง่าปานนั้น ตลอดจนการเดินร่อนไปทั่วบ้านทั่วเมืองของไมเคิล ที่เห็นเดินงุ่มง่ามขนาดนั้น แต่ก็ไปได้ไกล แถมไม่ค่อยจะมีคนพบเห็นอีกต่างหาก จะว่าไปแล้ว อะไรแบบนี้ก็คือเสน่ห์ของหนังเรื่องนี้ไปแล้วก็ว่าได้ รวมถึงกลายเป็นสิ่งที่หนังเชือดทั้งหลายต้องมี
และที่ขาดไม่ได้งานดนตรีประกอบที่ธีมหลักเป็นฝีมือของผู้ให้กำเนิดหนังต้นฉบับ
ส่วนชะตากรรมของผู้ล่า ที่กลายมาเป็นผู้ถูกล่าอย่างไมเคิล ไมเยอร์สนั้น เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงเดากันได้ถูก โดยเฉพาะเมื่อมีการวางโปรแกรมเอาไว้เรียบร้อยแล้วว่า จะหนังเรื่องสุดท้าย (?) ตามมาอีกเรื่องในปีหน้า
ที่เชื่อว่า ยังอาจจะมีต่อไปอีกหลาย ๆ เรื่องก็ว่าได้
โดย นพปฎล พลศิลป์
ติดตามอ่านเรื่องราว ข่าวสาร ชมตัวอย่าง ชมคลิป ชม MV อ่านวิจารณ์หนังและเพลง ได้ด้วยการกดไลค์เพจสะเด่าส์ ได้ที่นี่