HEREDITARY: หนังสยองขวัญเล็กๆ ที่ได้คำชมจากบรรดานักวิจารณ์ด้วยคะแนนเป็นเอกฉันท์ก็ว่าได้ของปีนี้ ไม่ต่างไปจากที่หนังอย่าง The VVitch หรือว่า Get Out เคยได้รับมาก่อนหน้า กับเรื่องราวของครอบครัวแกรห์ม ที่เพิ่งสูญเสียยายไป และหลังจากนั้นชีวิตของพวกเขาก็เหมือนกับมีบางอย่างเข้ามาคุกคาม ทำให้ความสัมพันธ์ของพ่อ-แม่และลูกสี่ชีวิต ที่เหมือนมีม่านบางๆ ขวางกั้นความสัมพันธ์ของพวกเขาอยู่แล้ว ห่างเหินหรือยากที่จะเข้าถึงกันและกันหนักข้อยิ่งกว่าเดิม ซึ่งก็คล้ายๆ กับแอนนี ภรรยาและแม่ของเด็กๆ อีกสองคนกับแม่ผู้จากไป
ขณะที่ความห่างเหินของพวกเขาเพิ่มมากขึ้น บางอย่างที่แอบฝังลึกอยู่ภายในครอบครัว ก็ค่อยๆ เผยตัวให้เห็นทีละเล็ก ทีละน้อยๆ เช่นเดียวกับเรื่องราวแต่หนหลังในครอบครัวของแอนนี ที่เธอเล่าออกมาให้ฟังในกลุ่มช่วยเหลือ ซึ่งเป็นชะตากรรมที่น่าหดหู่ ที่ดูเป็นเรื่องจงใจบีบคั้น มากกว่าจะเป็นการกระทำโดยไม่ได้ตั้งใจ ที่ในตอนนี้สิ่งที่เกิดขึ้นในบ้านของเธอ ก็ไม่ต่างกัน เมื่อมันส่งผลกระทบเต็มๆ มาที่เด็กๆ โดยเฉพาะชาร์ลี ลูกสาวคนเล็ก ราวกับว่าสิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับพี่ชายและพ่อของแอนนี กำลังจะเกิดขึ้นกับลูกๆ ของเธอ คลับคลากับการรับมรดกตกทอด ถูกโอนถ่ายชะตากรรมบางอย่างจากผู้ใหญ่ในบ้าน
จนนำไปสู่การสูญเสียครั้งใหญ่ ที่กลายเป็นการเปิดเผยเบื้องหลังอันน่าพรั่นพรึงของครอบครัวนี้ในตอนท้าย ซึ่งพาคนดูไปถึงจุดพีคที่ชวนหลอนในที่สุด โดยก่อนหน้านั้น ผู้ชมเองก็ไม่ต่างไปจากตัวละครที่ตกเป็น ‘เป้าหมาย’ ในเรื่อง ที่ถูกเคี่ยวความหวาดหวั่นเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะหลังแอนนีก้าวไปสู่โลกของสิ่งที่เหนือธรรมชาติ ทุกอย่างก็ถาโถมใส่บ้านของตระกูลแกรห์มแบบไม่รามือ ผิดไปจากช่วงแรกๆ ที่เปิดตัวอย่างหนืดๆ เนิบๆ อาจจะมีจังหวะหยอกคนดูอยู่บ้าง แต่ก็ไม่หนักหนาสาหัส หรือมากันเป็นชุดๆ ไม่มียั้ง
แล้วยังให้ทุกอย่างถูกเล่าผ่านบทสนทนา หรือเหตุการณ์เล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อผู้ชมจะได้เก็บเกี่ยวเอากันตาม ซึ่งถ้าเกาะติดกับเรื่องอยู่มือมาตั้งแต่ต้น ไม่พ้นถึงบางอ้อแน่ๆ เมื่อหนังเฉลยความเป็นมาเป็นไปทุกอย่าง เพราะสามารถนำเอาเหตุการณ์ต่างๆ สิ่งละอันพันละน้อยที่ตัวละครบอกเล่าในตอนต้นมาใช้อธิบายได้อย่างกระจ่างชัด มีเหตุผลมีผลสอดรับกันลงตัว
และถึงแม้จะติดเนือยนาบไปบ้าง มีฉากให้ได้ตระหนกน้อยไปหน่อยในตอนต้น แต่ Hereditary ก็ทำได้ดีในเรื่องของการคุมโทน และการสร้างบรรยากาศ โดยเฉพาะการใช้ซาวนด์ และดนตรีประกอบ ที่ทำให้หนังอยู่ในสภาพที่คุ้มดีคุ้มร้าย ไม่น่าไว้ใจมาได้โดยตลอด ในแบบที่ทำให้ ‘รอ’ ดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นภายใต้ความสงบที่เหมือนผิวน้ำที่นิ่งเงียบด้วยใจจดจ่อ
เสียดายอยู่บ้าง ตรงที่หนังไม่ใส่คนดูได้หนักมือตั้งแต่ต้นอย่างเป็นเรื่องเป็นราว เพราะถ้าทำได้ Hereditary น่าจะไม่อืดชืดอยู่พักใหญ่และให้ความหวาดหวั่นได้ในระดับเดียวกันหรือใกล้เคียงกับงานที่ถูกนำมาวางเทียบอย่าง The VVitch กว่าที่เป็นอยู่ เพราะหนังมีอะไรที่คล้ายคลึงกันไม่น้อยเลย ไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศ อารมณ์ ตัวปมประเด็นของหนัง และที่สำคัญการแสดง ที่แม้จะมีคนเล่นน้อย แต่ก็มากคุณภาพ รับส่งกันได้อย่างลงตัว อย่างที่เห็นกันในฉากปะทะคารมบนโต๊ะอาหาร ที่ไม่ว่าจะเป็นดาราตัวเล็กตัวน้อยตัวใหญ่ขนาดไหนก็ไม่มีถูกฆ่าตายคาจอ โดยมีโทนี คอลเล็ทท์ เป็นเพ็ชรยอดมงกุฎ กับการรับบทแอนนี แม่ที่ดูสับสนและชวนไม่น่าไว้ใจในสภาพจิต กระทั่งสาวน้อยสุด มิลลี ชาพีโร ที่เล่นเป็นน้องสุดท้องของบ้าน-ชาร์ลี ก็ดูหลอนๆ ทุกครั้งที่ปรากฏตัว และการแสดงของทั้งสี่นักแสดงหลักในเรื่อง ก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ช่วยเสริมบรรยากาศและโทนของหนังได้เป็นอย่างดี
แม้เท่าที่เห็นและเป็นไป หนังปีศาจซ่อนกล คนซ่อนผีเรื่องนี้ อาจจะไม่ถึงกับเต็มร้อยในเรื่องผลลัพธ์นัก แต่อย่างน้อยก็ทำได้สมราคาและคำชม โดยเฉพาะเรื่องของไอเดียทั้งในส่วนของพล็อตและการนำเสนอ ที่หากคิดตามทัน และเอากลับมาสานต่อ
อะไรบางอย่างที่ส่งต่อกันในครอบครัวแบบนี้ ที่ทำให้นึกถึงตะขาบของคุณยายวรนารถ มันก็สะพรึงไม่น้อยทีเดียว
โดย นพปฎล พลศิลป์ จากนิตยสาร สตาร์พิคส์ กรกฎาคม 2560