RAMBO – LAST BLOOD: เดินหน้ามาถึงภาคที่สี่ ในแบบที่ความเป็นไปของตัวละครและเรื่องราว สวิงไปจากหนังภาคแรก First Blood โดยเฉพาะนิยายของเดวิด มอร์เรลล์ ที่จอห์น แรมโบ ไม่ใช่แค่ทหารผ่านศึกเวียตนามที่เต็มไปด้วยบาดแผลทั้งทางร่างกายและจิตใจ ซึ่งต้องการที่พักพิงหรือการดูแลอย่างเข้าใจ ไม่ใช่การดูถูกเหยียดหยามจนไปปลุกสัญชาตญาณนักฆ่า แต่กลายเป็นทหารผ่านศึกที่กลายเป็นอาวุธลับในภารกิจลับของรัฐบาลอเมริกัน ในการทำหน้าที่ตำรวจโลก และเมื่อหลีกหนีมาใช้ชีวิตตามลำพัง เขาก็กลายเป็นฮีโรจำเป็นในหลายๆ สถานการณ์
ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ แรมโบมีบ้าน, มีพ่อ, มีคนที่เขาผูกพัน ซึ่งก็เพิ่งได้เห็นกันในหนังภาคนี้แหละ (หลังจากทิ้งท้ายไว้ในภาคก่อน) โดยที่แทบไม่ได้มีการกล่าวถึงเลยแม้แต่น้อยในหนังสามภาคก่อนหน้า คือไม่ต้องนึกถึงพัฒนาการหรือว่าความสมเหตุสมผลกันละ และแน่นอนคราวนี้ก็มีเหตุให้ต้องปลุกวิญญาณนักฆ่าในตัวแรมโบขึ้นมาอีก เมื่อหลานสาวของคนดูแลบ้าน ซึ่งแรมโบรักเหมือนลูกถูกจับตัวไปค้าประเวณี เขาจึงต้องข้ามแดนไปจัดการกับพวกมัน
ไม่ต่างไปจากหนังภาคก่อนๆ ที่เน้นกันที่ความมันส์ ความสะใจ แต่ที่เพิ่มมากขึ้น (ตั้งแต่ตอนที่แล้ว) ก็คือ ความโหด ความรุนแรงของหนัง ความเป็นมาเป็นไปของตัวละครก็เต็มไปด้วยช่องโหว่มากมาย ทั้งการกระทำของแรมโบเอง หรือการใส่ตัวช่วยเข้ามาในหนัง สถานการณ์พลิกผัน หักมุม เซอร์ไพรส์ก็ไม่ต้องพูดถึง แต่ถ้ามองข้ามไปได้ ก็ถือว่าหนังขายความบันเทิงสำหรับคอหนังแอ็คชะนดิบๆ ได้ดี
แล้วก็ไม่ได้ให้แรมโบในวัยเหนียงยาน พุงโต ดวลตัวต่อตัวกับเหล่าร้ายเหมือนเมื่อก่อน แต่ใช้สมองมากขึ้น ในแบบที่ให้รู้จักความพ่ายแพ้แบบย่อยยับซะก่อน แล้วก็ไม่ประนีประนอมกับชะตากรรมของตัวละครบางราย เหล่านี้คือส่วนดีของหนัง และถือได้ว่าเป็นพัฒนาการที่ดีของตัวแรมโบ และการเล่าเรื่อง
ขณะที่ส่วนอื่นๆ ก็อย่างที่ว่าเอาไว้ก่อนหน้า มองข้ามไปซะแล้วจะเห็นความบันเทิง จากปฏิบัติการอันสุนทรของคนที่ไม่แก่เกินจะฆ่าใครตาย
โดย นพปฎล พลศิลป์