หลังสคูเตอร์ บรอน ใช้เงินถึง 300 ล้านเหรียญ ซื้อค่ายเพลงบิก แมชีน ของสก็อทท์ บอร์เช็ตตา เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ทำให้อัลบัมหลายๆ ชุด ที่เคยอยู่ในการดูแลของบอร์เช็ตตา ผ่านทางบิก แมชีนตกไปอยู่ภายใต้การดูแลของบรอน ซึ่งหนึ่งในจำนวนนั้นก็คือ 6 อัลบัมแรกของเทย์เลอร์ สวิฟท์ ที่อะไรๆ ก็คงไม่เป็นปัญหาถ้าบรอนกับสวิฟท์ญาติดีกัน แต่เพราะเขามีความใกล้ชิดกับคานเย เวสท์ คู่ปากคู่ปรับคนสำคัญของเธอ นี่คือข่าวร้ายของน้องสวยสวิฟท์ เมื่อมาสเตอร์เพลงเก่าๆ ของเธอไปตกอยู่ในมือของคนที่ไม่น่าไว้ใจ ซึ่งอาจนำเพลงของเธอไปใช้ในทางเสียๆ หายๆ ได้ไม่ยาก
เข้าใจว่าหลังเจ็บใจอยู่นาน (ราวๆ 2 เดือน) และคงมองหาหนทางแก้ปัญหาที่ดีที่สุด สวิฟท์ศิลปินหญิงวัย 29 ปีก็หาทางเอาคืนได้สำเร็จ ด้วยการมีแผนนำเพลงจากหกอัลบัมที่ว่ามาบันทึกเสียงใหม่ โดยเธอเปิดเผยเรื่องนี้ผ่านการให้สัมภาษณ์ในรายการ ซันเดย์ มอร์นิง ทางสถานีซีบีเอส “ใช่ อย่างที่สุด” เธอบอกกับเทรซี สมิธ พิธีกรในรายการ หลังถูกถามว่ามีแผนกลับเข้าห้องอัดเพื่อบันทึกเสียงเพลงในอัลบัมเก่าๆ อีกหน เพื่อให้ได้สิทธิในการดูแลเพลงเหล่านั้นกลับคืนจริงไหม?
คนที่เป็นต้นคิดในเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ใครอื่น เคลลี คลาร์คสัน ศิลปินป็อปชื่อดัง ที่หลังจากข่าวของบรานกับบิก แมชีน แพร่สะพัดออกไป เธอก็ทวีตไอเดียบันทึกเสียงเพลงจากอัลบัมเก่าๆ ขึ้นบนทวิตเตอร์ เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม “แค่คิดนะ” คลาร์คสันทวีต “เธอน่าจะกลับเข้าสตูดิโอแล้วก็บันทึกเสียงทุกเพลงที่เธอไม่ได้เป็นเจ้าของมาสเตอร์ แบบเป๊ะๆ กับที่เคยทำ แต่ทำปกใหม่แล้วก็ทำอะไรบางอย่าง เพื่อที่แฟนๆ จะไม่ได้ต้องไปซื้องานเวอร์ชันเดิมอีก” ก่อนที่จะย้ำด้วยว่า “เพื่อพิสูจน์จุดยืนนี้ ฉันจะซื้ออัลบัมฉบับใหม่ทุกชุด”
การบันทึกเสียงเพลงจากอัลบัมเดิมๆ แบบยกชุด ยกกระบิกับสังกัดใหม่แบบนี้ เป็นสิ่งที่ศิลปินใหญ่ระดับเดียวกับสวิฟท์ไม่เคยมีใครทำมาก่อน หากจะมีก็เป็นเพราะข้อห้ามในการใช้ผลงานของพวกเขาหมดสิทธิ์ลง โดยในปี 2012 เจฟฟ์ ลีนน์เอาเพลงคลาสสิคของ ELO ถึง 12 เพลงมาทำใหม่ เพื่อใส่ในอัลบัม Mr. Blue Sky – The Very Best Of Electric Light Orchestra โดยให้เหตุผลว่า “เราเคยทำในสิ่งที่ทำได้ดีที่สุด แต่ประสบการณ์และเทคโนโลยียังคงมีบทบาทสำคัญในการทำงาน และกับการทำใหม่ ซาวนด์ที่ออกมามันจะแน่น เต็มมากขึ้น” แม้สำหรับคนฟังส่วนใหญ่ เพลงฉบับทำใหม่แทบจะฟังไม่ต่างจากต้นฉบับเลยก็ตาม และจุดประสงค์หลักก็ดูจะเป็นเรื่องการใช้งานซะมากกว่า โดยหลายๆ ทศวรรษที่ผ่านมา ศิลปินคันทรีและศิลปินรุ่นเก่าหลายๆ รายจะบันทึกเสียงเพลงเก่ากันใหม่เป็นประจำ เมื่อมีการย้ายค่ายเกิดขึ้น แต่ก็ไม่ใช่ว่ากันแบบยกชุดอย่างที่สวิฟท์ตั้งใจ
ปรินซ์ และ Def Leppard เป็นตัวอย่างของศิลปินที่ทำอะไรคล้ายๆ อย่างที่สวิฟท์คิด เมื่อรู้สึกว่าได้รับค่าตอบแทนอย่างไม่เป็นธรรมจากต้นสังกัดของอัลบัมหรือเพลงต้นฉบับ แต่สัญญาที่พวกเขาเซ็นเกิดขึ้นในยุค 70 ทุกวันนี้ไม่ใช่แค่ศิลปินที่ฉลาดขึ้น ค่ายเพลงก็เหมือนกัน จากประสบการณ์ต่างๆ ที่เคยเจอมา ทำให้มีการระบุช่วงเวลาไว้ในสัญญาเป็นมาตรฐาน โดยปกติแล้วอาจจะเป็นสองปีหลังจากสัญญาที่ระบุไว้ในอัลบัมหมดลง หรือห้าปีหลังจากการออกวางขาย เพลงเก่าๆ เหล่านั้นถึงสามารถนำมาทำใหม่ ซึ่งรวมไปถึงฉบับแสดงสดด้วย ถึงจะนำออกมาวางจำหน่ายได้
“ข้อตกลงในการบันทึกเสียงมักห้ามศิลปินบันทึกเสียงเพลง จากการเรียบเรียงดนตรีที่บันทึกเสียงไปแล้วกับต้นสังกัด ไว้เป็นเวลาหลายปีหลังจากข้อตกลงในการบันทึกเสียงหมดอายุลง” ราเชล สติลเวลล์ ทนายในอุตสาหกรรมดนตรี กล่าว “แต่ข้อห้ามในการบันทึกเสียงใหม่ทุกฉบับ ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้เหมือนกัน และเราก็ไม่รู้ว่าข้อตกลงดั้งเดิมของสวิฟท์กับบิก แมชีน เป็นยังไง” ซึ่งทางตัวแทนของสวิฟท์ก็ปฏิเสธที่จะให้ความเห็นในเรื่องนี้ เช่นเดียวกับตัวแทนของบิก แมชีน
สติลเวลล์บอกอีกว่า สัญญาหลายฉบับห้ามบันทึกเสียงใหม่จนกระทั่ง “สองปีต่อจากปีที่ข้อตกลงหมดอายุ หรือห้าปีหลังจากมีการวางขายอย่างเป็นทางการ” ซึ่งถ้าสัญญาของสวิฟท์เป็นไปตามเงื่อนไขนี้ อัลบัมเดียวที่ไม่สามารถบันทึกเสียงใหม่ได้ก็คือ Reputation ในปี 2017 ส่วนอัลบัมทุกชุดนับย้อนหลังขึ้นไปจาก 1989 ที่ออกเมื่อปี 2014 สามารถทำได้หมดในช่วงปลายปี 2020
แต่ก็ใช่ว่าเรื่องนี้จะจบลง จะว่าไปแล้วนำไปสู่ข้อสงสัยหรือปัญหาอีกอย่างตามมาด้วยซ้ำ เพราะไม่แน่ว่าอาจมีเงื่อนไขอื่นๆ กำหนดเอาไว้ ทำให้ต้องดูรายละเอียดในสัญญาที่สวิฟท์เซ็นไว้กับบิก แมชีน เรคอร์ดส์ ที่อาจซับซ้อนกว่าแค่การกำหนดระยะเวลา เช่น ระบุว่าสวิฟท์ไม่สามารถใช้ปกหรือชื่อเพลงจากอัลบัมเก่าๆ ได้เลย
หรือในบางกรณี อาจมีเงื่อนไขเรื่องของการเอาเพลงเก่าไปทำใหม่ ให้มีซาวนด์ที่ไม่เหมือนกันเอาไว้ด้วยอีกต่างหาก ซึ่งจะเป็นการห้ามทำเพลงคล้ายๆ กับต้นฉบับไปโดยปริยาย แต่ลอรี โซริอาโน ทนายในอุตสาหกรรมดนตรีระดับหัวแถว ที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับสัญญาสวิฟท์ให้ความเห็นว่า เป็น “ข้อบัญญัติที่ประหลาด” สำหรับค่ายเพลง ซึ่งทำให้ดูเหมือนตัวเองพยายามหาประโยชน์จากเพลงเก่า มากกว่าจะกระตุ้นให้เกิดการบริโภคทั้งเพลงต้นฉบับและเพลงฉบับใหม่
ซึ่งถ้ามีเงื่อนไขในเรื่องการนำเพลงเก่าไปทำใหม่ ที่ต้องแตกต่างกับต้นฉบับระบุเอาไว้ งานนี้สวิฟท์จะต้องเจอทางตัน เพราะไม่สามารถบันทึกเสียงแบบก็อปปีจากงานต้นฉบับที่อยู่กับบิก แมชีน ตรงๆ ได้เลย สติลเวลล์เสริมด้วยว่า เงื่อนไขนี้มีระบุเอาไว้ในสัญญาหลายๆ ฉบับ
ตัวสวิฟท์เชื่อว่า เธอสามารถบันทึกเสียงเพลงเก่าๆ ของเธอได้อีก และทีมทนายของเธอ ก็คงไม่ปล่อยให้มีข้อห้ามการบันทึกเสียงใหม่ที่ทำร้ายศิลปินขนาดนั้น อยู่ในสัญญาของลูกค้าตัวเอง โดยสวิฟท์ย้ำในรายการด้วยว่า สัญญาที่เซ็นกับบิก แมชีน ให้เธอสามารถบันทึกเสียงเพลงจากห้าอัลบัมแรกของเธอได้อีก ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2020 “สัญญาของฉันบอกไว้ว่า ฉันสามารถเริ่มบันทึกเสียงเพลงในอัลบัม 1-5 ได้ตั้งแต่พฤศจิกาฯ 2020” เธอกล่าว “ฉันกำลังจะยุ่งใหญ่ละ”
ส่วนเรื่องอื่นๆ อย่างเรื่องสิทธิ์ในการใช้เพลง การที่สวิฟท์เป็นคนแต่งเพลงหลักตั้งแต่อัลบัมชุดแรก ทำให้เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ วงในของธุรกิจเพลงเสริมอีกด้วยว่า เธออาจไม่ต้องขออนุญาตจากคนที่แต่งเพลงร่วม หรือโปรดิวเซอร์อย่าง ลิซ โรส กับนาธาน แชปแมนเลยด้วยซ้ำ แต่สวิฟท์ก็ต้องจ่ายค่าธรรมเนียนในการขอใช้เพลง และต่อให้ต้องขออนุญาต บรรดาผู้ร่วมงานกับเธอหลายๆ คนก็ยินดีกับการที่เธอพยายามทวงคืนสิทธิ์ในผลงานของตัวเอง “ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องมหัศจรรย์” โรเบิร์ท เอลลิส ออร์รอลล์ ที่ร่วมแต่งเพลง “A Perfect World” ในอัลบัมแรกของสวิฟท์ กล่าว “ผมหวังว่าเธอจะเพิ่มเพลงโบนัสเข้าไปด้วย แฟนเพลงของเธอเรียกร้องกันมาก สำหรับเพลงที่พวกเขาชอบแต่ไม่เคยมีการทำออกจำหน่าย บางทีพวกเขาอาจจะได้ยินเพลงที่เปรียบกับจอกศักดิ์สิทธิ์ อย่าง “Dark Blue Tennessee” ที่ไม่เคยทำออกมาเลย”
แต่ก็มีเรื่องหนึ่งที่น่าพิจารณาด้วยเช่นกัน “ขณะที่ความพยายามเพื่อบันทึกเสียงเพลงใหม่กลายเป็นเรื่องใหญ่กว่าเรื่องเงิน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จะมองข้ามเรื่องเงินๆ ทองๆ ไปได้” เจมส์ แซมมาทาโร ทนายในธุรกิจดนตรีกล่าว “เราต้องยอมรับกันว่า มันมีค่าใช้จ่ายในเรื่องการทำงาน มีต้นทุน แล้วถ้าสวิฟท์ทำเพลงออกมาเหมือนกับงานที่ออกมาในตอนแรก เธอกำลังจะกลายเป็นคู่แข่งกับตัวเอง เมื่อมีอัลบัมที่เหมือนกันสองชุดสู้กันเพื่อให้คนฟังคนเดียวเลือกฟัง”
ถ้ามองเพียงเรื่องของการเอาชนะ หรือสร้างอุปสรรคให้กับคู่แข่ง แค่ปล่อยงานเก่าที่ทำใหม่ออกมาได้ก็น่าจะทำให้สวิฟท์พอใจแล้ว เพราะความจงรักภักดีจากแฟนๆ ของเธอ มีศักยภาพมากพอที่จะทำให้อัลบัมฉบับดั้งเดิมหมดค่าลงไปด้วย
แต่ไม่ได้หมายความว่า สงครามครั้งนี้ เทย์เลอร์ สวิฟท์จะชนะ เพราะเชื่อได้เลยว่า ศึกนี้ยังต้องสู้กันอีกยาวไกล
โดย นพปฎล พลศิลป์ เรื่อง การล้างแค้นของน้องสวย – เทย์เลอร์ สวิฟท์ สงครามครั้งนี้ยังไม่จบ คอลัมน์ หรรษา – วันจันทร์ HAPPY MONDAY หนังสือพิมพ์ ไทยโพสท์ วันที่ 26 สิงหาคม 2562