ในช่วงเวลาของดนตรีอัลเทอร์เนถีฟ ศิลปินมากมายเกิดขึ้น โด่งดัง แล้วดับไปในช่วงเวลาอันสั้น หลายวงถูกลืมหาย แต่บางวงก็กลายเป็นตำนาน หรืออย่างน้อยก็ถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ของวงการเพลง เมื่อพูดถึงวงการเพลงในยุค 90 ซึ่งหนึ่งนั้นจะ ‘ต้อง’ มี Oasis วงดนตรีที่แกนนำเป็นสองพี่น้อง โนลและเลียม กัลลาเกอร์ วงดนตรีที่ใช้เวลาไม่ถึงสามปี จากการเป็นวงดนตรีที่เพิ่งได้เซ็นสัญญาอัดแผ่นเสียง ก้าวไปเป็นวงดนตรีร็อคหมายเลขหนึ่งของเกาะอังกฤษ (และอาจจะรวมถึงของโลก) ที่ได้เล่นต่อหน้าผู้ชมถึงสองแสนห้าหมื่นคนที่เน็บเวิร์ธ
แน่นอนว่าพวกเขาคือตำนาน และไม่มีประวัติศาสตร์ดนตรีเล่มไหนสมบูรณ์ หากปราศจากชื่อของพวกเขา
แล้วหากย้อนไปดูที่มา ที่เป็นคนชั้นแรงงาน ทำงานบ้าน รับเงินสวัสดิการจากรัฐบ้างเพื่อเลี้ยงชีพ เส้นทางสู่การเป็นซูเปอร์สตาร์ของโอเอซิส เป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างยิ่ง โดยที่อย่าลืมว่า พวกเขาไม่ใช่วงดนตรีอายุสั้น ที่มาแล้วก็ไป แต่ทำงานร่วมกันเกือบๆ 2 ทศวรรษ มีสตูดิโอ อัลบั้มให้ฟังกันถึง 7 ชุด โดยไม่นับอัลบั้มรวมฮิต และแสดงสด
ชีวิตของโอเอซิส ช่างมีสีสัน น่าสนใจเหลือเกิน
และมันก็กลายเป็นภาพยนตร์สารคดีที่ชื่อ Supersonic ที่กำกับโดยแม็ท ไวท์ครอสส์ ผู้กำกับของหนังอย่าง Spike Island, Sex & Drugs & Rock & Roll หรือหนังสารคดี The Shock Doctrine โดยมีอาซิฟ คาปาเดีย ผู้กำกับหนังสารคดีชั้นเยี่ยมอย่าง Senna และ Amy เป็นผู้อำนวยการสร้างฝ่ายบริหาร
ชื่อหนังเหมาะสม ลงตัวกับความเป็นไปของวงดนตรีบ้านๆ จากแมนเชสเตอร์วงนี้อย่างที่สุด เพราะนี่คือชื่อซิงเกิลเปิดตัวของพวกเขา ที่กลายเป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่งทุกอย่างก็ว่าได้
แม้จะเป็นหนังสารคดี แต่เรื่องราวของโอเอซิสก็ถึงพร้อมสำหรับการสร้างอารมณ์ต่างๆ มากมายให้คนดูรู้สึก ไม่ใช่แค่การไต่เต้าไปถึงจุดสุดยอดในเวลาอันรวดเร็ว แต่ยังรวมไปถึงความสัมพันธ์ในวง โดยเฉพาะกับสองแกนนำ ที่ทำให้นึกถึงความสัมพันธ์ของนิกี เลาดาและเจมส์ ฮันท์ ที่เป็นศัตรูผู้รู้ใจของกันและกันใน Rush แต่ที่สนุกกว่า แสบกว่าก็ตรงที่ทั้งคู่เป็นพี่น้องคลานตามกันมา ที่ได้รับรู้กันว่า แม้จะเหม็นขี้หน้ากันขนาดไหน ไม่พอใจกันยังไง ในความเป็นสายเลือดเดียวกัน โนลและเลียมต่างก็รู้หัวใจ-หัวจิตของกันและกัน เข้าใจหากไม่พยายามรอมชอม ยอมรับแต่ไม่่อ่อนข้อ ในฐานะคนทำเพลง-แต่งเพลงของวง โนลยอมรับกลายๆ ว่า เลียมคือเสียงที่ได้และใช่ ส่วนน้องชายก็ยอมรับว่า พี่ของเขาคือนักแต่งเพลงมือดี และมือกีตาร์ที่ใช้ได้
แต่พวกเขาไม่ใช่หยินกับหยาง และไม่ใช่น้ำกับน้ำมัน หากเป็นไม้ขีดไฟกับเชื้อเพลิง ที่พร้อมจะเผาตัวเองและคนรอบข้างให้วอดวาย อย่างที่โนลบอกเอาไว้ เขาก็เหมือนแมว ต้องการโลกส่วนตัว ไม่อยากให้ใครมายุ่งกับชีวิต และเลียมก็คือสุนัข ที่พยายามจะเล่นกับคนอื่นๆ ไปทั่ว
ที่ร้ายไปกว่า ทั้งสองคนยังชิงดีชิงเด่น อิจฉาริษยากัน อยู่ในความเป็นพี่-น้องอีกต่างหาก
เป็นความสัมพันธ์แบบทั้งรักทั้งเกลียด ทั้งชังทั้งห่วง ซึ่งหนังนำเสนอออกมาได้อย่างชัดเจน ผ่านคำบอกเล่าของเพ็กกี กัลลาเกอร์ – แม่, พอล พี่ชายคนโต รวมไปถึงคนรอบข้างที่เกี่ยวข้อง และแน่นอน ปากคำของทั้งคู่
เมื่อแกนกลางของวงเป็นอย่างที่เห็น ไม่น่าแปลกใจที่ท้ายที่สุดโอเอซิส จะมีจุดจบอย่างที่เราๆ รู้กัน แต่ก่อนจะไปถึงวันนั้น ซึ่งไม่ได้มีให้เห็นในหนัง พวกเขาก็พาตัวเองมาถึงจุดสุดยอดในชีวิต ได้ในแบบที่วงอายุยาวมากกว่าพวกเขาได้แค่ฝันกลางวันถึง
Supersonic เลือกให้การแสดงต่อหน้าผู้ชมนับแสนที่เน็บเวิร์ธเป็นไคลแม็กซ์ เป็นจุดเริ่มต้นและจุดจบ ของเรื่อง ซึ่งจะว่าไปแล้ว ณ. ตรงนั้น ก็คือจุดที่พีคที่สุดของวง เป็นอะไรไกลเกินกว่าที่พวกเขาจะฝันถึงด้วยซ้ำไป โดยใช้เวลาเพียงแค่ 2 ปีครึ่งนับจากวันที่ได้เซ็นสัญญาเพื่อมาถึงตรงนี้โอเอซิสผ่านอะไรมามากมาย แม้จะมีอัลบั้มแค่ 2 ชุด Definitely Maybe และ (What’s the Story) Morning Glory ไม่ว่าจะเป็นการใช้ชีวิตแบบร็อค แอนด์ โรลล์ ชนิดสุดขั้ว ที่เกือบจะพังชีวิตการทำงานของพวกเขาไปตั้งหลายหน ซึ่งส่งผลทั้งที่เป็นเรื่องส่วนรวมของวง และส่วนตัวของสมาชิกแต่ละคน
และ Supersonic ก็หยิบเอาเหตุการณ์สำคัญๆ ในช่วงเริ่มไปสู่จุดสุดยอดของโอเอซิส มาร้อยเป็นเรื่องราวได้อย่างน่าติดตาม อาทิ การแสดงสดที่กลาสโกว์ที่ทำให้พวกเขาได้เซ็นสัญญากับครีเอชัน เรคอร์ดส์, เรื่องของห้องซ้อมและคลับ ที่เป็นสนามซ้อมกับเวทีแรกๆ ของพวกเขาในแมนเชสเตอร์, การทำอัลบั้ม, การเดินเข้า-ออกของสมาชิก, เรื่องที่โนลทิ้งวงกลางคันในการทัวร์อเมริกา, ผลกระทบจากเรื่องของธุรกิจที่เข้ามาเกี่ยวข้อง, ตลอดจนปัญหาครอบครัว เมื่อพ่อของสองพี่น้องกลับมาพร้อมกับ ‘ขาย’ เรื่องราวของครอบครัวที่ตัวเองไม่เคยใส่ใจให้นักข่าว ซึ่งล้วนเป็นผลพวงที่เกิดขึ้นจากความสำเร็จและชื่อเสียงที่ถาโถมเข้ามา และไม่ใช่แค่พี่น้องกัลลาเกอร์ แต่ทั้งวงต้องผ่านมันไปให้ได้
และวิธีการของพวกเขาก็คือ ใช้ชีวิตให้เหมือนเดิม ทำให้เต็มที่ ทุกคนยังคงใส่เสื้อผ้าแบบเดิมๆ เหมือนวันซ้อมดนตรีกันที่บอร์ดวอล์ค แม้หลายๆ ครั้งจะเป็นความเสี่ยง พวกเขาก็ไม่เปลี่ยน วิ่งไปจนสุดทาง เต็มกำลัง พร้อมจะพุ่งชนทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความสำเร็จหรือความล้มเหลว อุปสรรคหรือกลีบกุหลาบ เป็นคนที่มีพลังซูเปอร์โซนิคในตัว เช่นที่ตัวละครในเพลงชื่อเดียวกันมี
ไวท์ครอสส์เล่าเรื่องราวที่มีสีสันเหล่านี้ได้อย่างมีชั้นเชิง ในหลายๆ เหตุการณ์ ที่ไม่มีคลิป ไม่มีภาพ เหตุการณ์จริง เขาเลือกใช้ภาพแอนิเมชัน, ภาพตัดแปะ หรือพาดหัวข่าวจากหนังสือพิมพ์มาใช้ แทนที่จะเป็นแค่ภาพนิ่งประกอบกับเสียงสัมภาษณ์สมาชิกในวง, ครอบครัว, ทีมงาน (ซึ่งทำให้รู้ว่าใครกันบ้างที่มีส่วน ส่งวงดนตรีวงนี้) วางทุกอย่างอย่างมีจังหวะจะโคน มีจุดเริ่มต้น จุดจบ มีหักมุม
แม้จะเป็นหนังสารคดี แต่ท้ายที่สุด Supersonic ก็มาพร้อมอารมณ์, ความรู้สึก, มีเรื่องให้ลุ้น, หัวเราะ, ซาบซึ้ง, ประทับใจ ไม่ต่างไปจากหนังปกติธรรมดาๆ เรื่องหนึ่ง โดยเฉพาะแฟนพันธุ์แท้ของวง Supersonic จะพาดิ่งไปในความสัมพันธ์ของสองพี่น้องกัลลาเกอร์มากกว่าที่เคย
การเลือกใช้เพลงก็ไม่ใช่เอาแค่ฮิต แต่ยังมีความหมายกับวง เป็นเพลงในช่วงเวลาสำคัญของพวกเขา พูดง่ายๆ ก็คือ เพลงของโอเอซิสในหนังเรื่องนี้ เปรียบได้กับซาวนด์แทร็ค แห่งชีวิตของเด็กหนุ่มเหล่านี้ในตอนนั้นดีๆ นี่เอง
เรียกได้ว่า ไวท์ครอสส์เก็บได้หมดทั้งชีวิตและเสียงเพลง ช่วยขับเน้นความเป็นคนที่ชีวิตทุกอย่างอยู่ที่ดนตรีของพวกเขาให้โดดเด่นมากขึ้น เพราะถ้าไม่มี เลียมอาจจะเป็นฮูลิแกนลูกหนังของทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี โนลอาจจะต้องไปเป็นลูกจ้างของวงดนตรีสักวงหรือผับไหนสักแห่ง
และนี่คือเรื่องราวการผงาดของวงดนตรีบ้าน ของชนชั้นแรงงาน ที่ยากจะได้เห็นอีกครั้งในยุคของอินเตอร์เน็ท รายการประกวดร้องเพลง เฉกเช่นทุกวันนี้
บางทีพวกเขาอาจจะเป็นวงร็อคแอนด์โรลล์แบบดั้งเดิมวงสุดท้าย อย่างที่โนล กัลลาเกอร์บอกเอาไว้ก็เป็นได้
SUPERSONIC
ผู้กำกับ: แม็ท ไวท์ครอสส์ นักแสดง: โนล กัลลาเกอร์, เลียม กัลลาเกอร์, พอล อาร์เธอร์ส, โทนี แม็คแคร์รอลล์, พอล แม็คกวิแกน, อลัน แม็คกี, เพ็กกี กัลลาเกอร์, พอล กัลลาเกอร์
โดย นพปฎล พลศิลป์ จากคอลัมน์ วิจารณ์-แนะนำ นิตยสารสีสัน
ติดตามอ่านเรื่องราว ข่าวสาร ชมตัวอย่าง ชมคลิป ชม MV อ่านวิจารณ์หนังและเพลง ได้ด้วยการกดไลค์เพจสะเด่าส์ ได้ที่นี่