THE WRATH: รายละเอียดระบุว่าสร้างมาจากหนังผีเป็นต้นแบบงานสยองขวัญยุคใหม่จากปี 1986 เรื่อง Woman’s Wail ซึ่งบอกไว้ก่อนเลยว่า ไม่ได้ชม คงไม่สามารถเปรียบเทียบได้ว่า การกลับมาในครั้งนี้ ดี-เยี่ยม-ด้อย-แย่ กว่าต้นฉบับขนาดไหน มีอะไรที่ผูกติดกลับมาด้วยกันบ้าง ซึ่งข้อมูลก็บอกอีกแหละว่า หนังปี 2018 ยังเก็บฉากหลอนๆ คลาสสิกของหนังต้นฉบับเอาไว้ อย่าง ฉากกินหนอน หรือฉากหลอนหลอกหลายๆ ฉาก
หนังถือว่ามาพร้อมบรรยากาศหลอนๆ ที่ชวนขนลุกตั้งแต่เปิดเรื่อง รวมไปถึงพื้นที่หลักของการเกิดเหตุการณ์ ที่เป็นบ้านโบราณในยุคโซชอน ที่มาพร้อมหลืบเงามากมาย โดยเฉพาะแสงสว่างที่มาจากแสงตะเกียง หรือเทียนไข ก็ทำให้ภาพบนจอดูลึกลับ น่าพรั่นพรึงมากขึ้น ขณะที่เรื่องราวก็ถือว่ามีปมน่าติดตาม ซึ่งหนังค่อยๆ เผยให้เห็นทีละนิดๆ ไม่ว่าจะเป็นความแค้นของวิญญาณร้ายที่อยู่ในบ้าน ความรุนแรงของมันที่เพิ่มดีกรีขึ้นเรื่อยๆ
ดูเหมือนว่าหนังน่่าจะหลอนใช้ได้ในแบบที่เอาอยู่ หากท้ายที่สุดแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะหนังทำไม่ถึง หรือเคยชินกับมุขหลอนให้ดุ้งไปแล้ว บรรยากาศที่ชวนขนลุกถึงลดระดับลงเรื่อยๆ การเล่นล่อหลอกกับความรู้สึกของผู้ชมก็ทำได้ไม่ดีพอ แต่อย่างน้อยก็ยังพอรู้สึกได้ แต่ไม่เข้มข้นอย่างที่หนังเปิดหน้าเอาไว้ในตอนแรก แถมฉากหลอนๆ หลอกๆ ทั้งหลาย ก็หนักไปทางคุ้นตา หรือมาแบบเดิมๆ เคยเห็นกันมาตั้งแต่หนังแม่นาคพระโขนง ไปจนถึง The Ring, Ju-On รวมไปถึงการใช้กล้องถ่ายภาพในที่มืด ซึ่งก็เพิ่งเห็นๆ กันไปใน Don’t Breathe
แถมปมสำคัญบางปมในหนังก็ถูกปล่อยวางละเลย จนทำให้เรื่องขาดความหนักแน่น เช่น ที่มาของรอยสักบนตัวเด็กสาว ที่กลายเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตเธอ ทั้งช่วยป้องกันปีศาจร้าย ทั้งพาเธอไปรับรู้ที่มาของความแค้นที่จองล้างจองผลาญผู้คนในบ้าน ความตั้งใจหรือทะเยอทะยานของเธอเอง ก็ดูขัดแย้งกับตัวตนที่หนังนำเสนอ เพราะขณะที่รับรู้ได้ถึงความอิจฉาริษยาของบรรดาสะใภ้คนก่อนๆ แต่เรากลับไม่รู้สึกถึงแรงต้าน ความมักใหญ่ใฝ่สูงของเธอ ที่ทำให้เธอกล้าสู้กับวิญญาณร้ายเลย
หนังถือว่าหย่อนความเข้มข้นไปเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่าน แต่การปิดจบแบบให้คิดต่อได้อย่างน่าพรั่นพรึง ก็ช่วยให้หนังไม่ใช่แค่งานสยองสำหรับคนดูหนังหน้าใหม่ และใช้ได้แค่เรื่องโปรดัคชันและองค์ประกอบต่างๆ เพียงเท่านั้น
โดย นพปฎล พลศิลป์
ติดตามอ่านเรื่องราว ข่าวสาร ชมตัวอย่าง ชมคลิป ชม MV อ่านวิจารณ์หนังและเพลง ได้ด้วยการกดไลค์เพจสะเด่าส์ ได้ที่นี่