FEATURESMovie Features

เน็ทฟลิกซ์ปะทะคานส์ และหมากต่อไปของผู้ให้บริการสตรีมมิงเจ้ายักษ์รายนี้

ปีที่แล้วหนังที่สร้างโดยเน็ทฟลิกซ์กลายเป็นประเด็นที่ร้อนฉ่าในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ และล่าสุดสตีเวน สปีลเบิร์กก็ออกมาตั้งคำถามถึงระยะเวลาในการฉายหนังเพียงแค่ไม่กี่สัปดาห์ ไม่กี่โรงฉาย เพียงพอที่จะให้หนังเรื่องนั้นได้สิทธิ์เข้าชิงรางวัลออสการ์หรือเปล่า

ปีนี้สงครามระหว่างเน็ทฟลิกซ์และเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ร้อนระอุยิ่งกว่าเดิม และน่าจะเป็นการเดินทางมาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญ หลังจากปัญหาถูกบ่มมาจนได้ที่ จากปีที่ผ่านมาเมื่อหนังเน็ทฟลิกซ์อย่าง Okja และ The Meyerowitz Stories ที่ได้รับคำวิจารณ์ที่ดี แต่ถูกต่อต้านจากบรรดาเจ้าของโรงหนังในฝรั่งเศส ตัวตั้งตัวตีสำคัญในการล็อบบีผู้อำนวยการศิลปะของคานส์ – เธียร์รี ฟรีมุกซ์ให้เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ยึดถึอกฎหมายฝรั่งเศส ที่ต้องการให้หนังที่ออกฉายในโรงภาพยนตร์ ไม่ถูกนำออกฉายหรือออกอากาศตามบ้านหลังจากเปิดตัวไปแล้วอย่างน้อย 36 เดือน ซึ่งเป็นการขัดขวางหนังเน็ทฟลิกซ์ไม่ให้มีส่วนร่วมในงาน เว้นแต่ว่าพวกเขาจะปล่อยให้หนังออกฉายเป็นพิเศษเฉพาะบางโรงในฝรั่งเศส ขณะที่เปโดร อัลโด โมวาร์ ที่เป็นประธานกรรมการก็บอกว่า หนังที่ไม่ได้ออกฉายในโรงภาพยนตร์ ไม่ควรได้รับการพิจารณาสำหรับรางวัลปาล์มทองคำ

การต่อสู้ดังกล่าว ยังคงว่ากันต่อในปีนี้ จากที่เคยหวังว่าจะสามารถเป็นส่วนหนึ่งของงานนี้ได้ ด้วยภาพยนตร์ที่น่าสนใจอย่าง Roma ของอัลฟองโซ คัวรอง และ Norway ของพอล กรีนกราสส์ แต่แล้วเน็ทฟลิกซ์ก็ต้องถูกบีบให้ถอนตัวออกไป เนื่องจากกฎใหม่ของคานส์ระบุว่า สำหรับหนังที่สามารถเข้าร่วมในสายของการประกวดได้ จะต้องมีการฉายในโรงภาพยนตร์ในฝรั่งเศส ซึ่งเน็ทฟลิกซ์ก็ตอบโต้ทันควันในเวลาต่อมา ด้วยการถอนตัวจากเทศกาลภาพยนตร์นี้ไปทั้งหมด

ทั้งๆ ที่มีทางเลือกที่ง่ายๆ นั่นก็คือให้หนังฉายนอกสายของการประกวด หากเน็ทฟลิกซ์เลือกที่จะเก็บภาพยนตร์ของพวกเขาแล้วเอากลับบ้านแทน โดยยังคงสูตรในการฉายภาพยนตร์ตามโรงแบบเดิมของตัวเอง ซึ่งหมายความว่าหนังจะเปิดตัวในโรงวันเดียวกับที่ดูได้ทางเน็ทฟลิกซ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขาแตกต่างไปจากผู้ให้บริการเจ้าอื่นๆ อย่างอะเมซอน ซึ่งปล่อยหนังออกฉายเฉพาะบางโรงเป็นเวลานานพอสมควร ก่อนที่จะนำขึ้นระบบสตรีมมิงให้สมาชิกได้รับชมกัน

เน็ทฟลิกซ์อ้างมานานแล้วว่า บรรดาผู้สมัครใช้บริการของพวกเขาจะไม่พอใจหากหนังที่ได้ชื่อว่าเป็นของเน็ทฟลิกซ์ ไม่สามารถดูได้ในวันเดียวกับที่หนังเปิดตัวในโรงภาพยนตร์ ซึ่งจะว่าไปแล้วเป็นข้ออ้างที่ดูไร้สาระ เพราะสมาชิกของอะเมซอนไม่ให้โวยวายอะไรเลยในตอนที่หนัง The Big Sick สนุกกับการยืนระยะฉายในโรงภาพยนตร์ พวกเขายินดีที่จะจ่ายเงินเพื่อดูหนังในโรงด้วยซ้ำ หรือไม่ก็รออีกสัก 2-3 เดือนเพื่อที่จะได้ชมผ่านระบบสตรีมมิง

เท็ด ซาแรนดอส หัวหน้าฝ่ายเนื้อหาของเน็ทฟลิกซ์ ถึงกับออกมากล่าวตำหนิคานส์ว่าสร้างดรามาให้กับตัวเอง

“เอ่อ… เราไม่ใช่คนที่ตัดสินใจ เธียร์รีประกาศเปลี่ยนคุณสมบัติของหนัง ที่ต้องการให้หนังที่มีการจัดจำหน่ายในฝรั่งเศส ถึงจะมีสิทธิ์เข้าประกวด ซึ่งขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิงกับจิตวิญญาณของเทศกาลภาพยนตร์ในโลกนี้ เทศกาลภาพยนตร์เกิดขึ้นเพื่อช่วยให้หนังหลายๆ เรื่องได้ถูกค้นพบ แล้วพวกเขาก็จะได้รับการจัดจำหน่าย ภายใต้กฎเหล่านั้น เราคงไม่สามารถปล่อยหนังของเราในแบบที่เคยทำสู่คนดูหนังทั่วโลก เหมือนที่เรามีหนังให้ชมกันเกือบร้อยๆ เรื่องตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา และถ้าเรายอมทำตามกฎ เราก็ต้องเลื่อนกำหนดฉายหนังให้สมาชิกในฝรั่งเศสออกไปถึง 3 ปีภายใต้กฎหมายฝรั่งเศส ดังนั้นหนังของเราเลยไม่มีคุณสมบัติสำหรับการประกวดในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ผมไม่เคยคิดว่าน่าจะมีเหตุผลใดๆ ที่ทำให้ต้องออกจากการประกวด กฎดูเหมือนพุ่งเป้ามาที่เน็ทฟลิกซ์เป็นนัยๆ และเธียร์รีก็ทำให้ชัดเจนมากขึ้นว่า มันเกี่ยวข้องกับเรา เมื่อเขาประกาศกฎออกมา”

จะว่าไปแล้วที่ซาแรนดอสพูดก็เป็นประเด็นที่น่าสนใจ แต่คานส์เองก็ต้องการสนับสนุนการจัดจำหน่ายผ่านโรงภาพยนตร์ ทำให้ไม่ใช่แค่เน็ทฟลิกซ์แต่ผู้จัดจำหน่ายที่มองหาหนังที่ฉายในงานคานส์ต้องเจ็บไปด้วย แล้วยังรวมไปถึงหนังอินดีเล็กๆ ที่ต้องการมาหาผู้จัดจำหน่ายที่นี่เป็นที่แรก

“เราอยากให้หนังของเราอยู่บนพื้นฐานความยุติธรรมเหมือนๆ หนังจากคนทำหนังรายอื่นๆ ทุกคน” ซาแรนดอส กล่าว “มีความเสี่ยงสำหรับเราในการที่ต้องทำแบบนี้ แถมหนังและคนทำหนังของเราก็ไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างให้ความเคารพ พวกเขา (คานส์) เป็นคนเริ่มต้น ผมไม่คิดว่าเป็นเรื่องดีสำหรับเราที่จะอยู่ที่นี่”

หัวหน้าของเน็ทฟลิกซ์ยังบอกอีกว่า เขาหวังว่าท้ายที่สุดแล้ว คานส์จะเปลี่ยนใจ รวมทั้งไม่ปิดโอกาสที่เน็ทฟลิกซ์จะกลับมาที่นี่อีกครั้งในอนาคต

“เราหวังว่าพวกเขาจะเปลี่ยนกฎ เราหวังว่าพวกเขาจะไม่ทำตัวโบราณคร่ำครึ เรายังยินดีให้การสนับสนุนหนังทุกเรื่องคนทำหนังทุกคน เราอยากให้คานส์กลับเข้าร่วมชุมชนภาพยนตร์โลกอีกครั้ง และยินดีต้อนรับการกลับมาของพวกเขา เธียร์รียังพูดแสดงความเห็นในการประกาศการเปลี่ยนแปลงกฎว่า ประวัติศาสตร์ของอินเตอร์เน็ทและประวัติศาสตร์ของคานส์ เป็นสองสิ่งที่แตกต่างกัน “ใช่ที่พวกเขาเป็นสองสิ่งที่แตกต่างกัน แต่เราเลือกที่พูดถึงอนาคตของภาพยนตร์ ถ้าคานส์เลือกจะติดอยู่กับประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ ก็ยอมรับได้”

ก่อนหน้าที่ฟรีมุกซ์จะประกาศเปลี่ยนกฎ หนังของเน็ทฟลิกซ์ที่อยู่ในการพิจารณาสำหรับฉายที่เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ในปีนี้ ก็ได้แก่ Roma ของอัลฟองโซ คัวรอง, Hold the Dark ของเจเรมี ซอลนิแยร์, Norway ของพอล กรีนกราสส์, The Other Side of the Wind หนังของออร์สัน เวลล์สที่สูญหายไปนาน และ They’ll Love Me When I’m Dead หนังสารคดีของมอร์แกน เนวิลล์

ผู้กำกับที่เอาด้วยกับเน็ทฟลิกซ์ก็มี ซอลนิแยร์ ที่เคยเอา Blue Ruin และ Green Room มาฉายที่คานส์ในอดีต “ใครบ้างที่อยากให้หนังตัวเองถูกโห่ใส่เป็นเครดิตจากการออกฉายครั้งแรก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมันเป็นการเหยียดหยามสิ่งที่เป็นไปได้ว่า สร้างหนังเรื่องนั้นขึ้นมาตั้งแต่ทีแรก?” ซอลนิแยร์กล่าว “และนั่นทำให้ผมกลายเป็นคนที่ปกป้องเน็ทฟลิกซ์อย่างเป็นบ้าเป็นหลัง”

ที่สุดแล้ว เรื่องนี้ก็ไม่ต่างไปจากเรื่องงี่เง่า การที่เน็ทฟลิกซ์ปฏิเสธการฉายในโรง มันคือเรื่องน่าขัน และเมื่อพวกเขาเลือกวิธีการปล่อยหนังอย่างที่ทำเป็นประจำ ก็ทำให้บรรดาเจ้าของโรงมองไม่เห็นโอกาสทางธุรกิจของหนังที่ฉายในโรงพร้อมๆ กับหาชมได้กันทั้งโลกผ่านเน็ทฟลิกซ์ ท้ายที่สุดหนังเหล่านี้ก็ไม่สามารถสร้างเงิน-สร้างทองกลับมาได้ รวมไปถึงยังเป็นการปิดช่องว่างสำหรับการนำหนังเรื่องอื่นเข้าฉาย เน็ทฟลิกซ์เป็นคนที่ถือไพ่และการตัดสินใจก็ยังอยู่ที่พวกเขาว่า จะเปลี่ยนกรรมวิธีในการจัดจำหน่ายหนังหรือเปล่า

ความคิดที่ว่า คงไม่มีโอกาสได้ชม The Irishman ของมาร์ติน สกอร์เซซี หรือว่า Roma ของคัวรองบนจอใหญ่ ย่อมทำให้คอหนังทั้งหลายผิดหวัง และการชมภาพยนตร์ในโรงภาพยนตร์ยังคงเป็นประสบการณ์พิเศษ ที่สำคัญนี่คือสถานที่ที่ภาพยนตร์กำเนิดขึ้น และไม่มีอะไรที่เหมือนประสบการณ์ร่วมในการชมภาพยนตร์ในโรง หนังอย่าง A Quiet Place และ Black Panther ก็ไม่ต่างไปจากงานที่จัดแสดงในโรงภาพยนตร์ที่ทำให้ผู้ชมจมอยู่กับเรื่องราว และเน็ทฟลิกซ์ก็สมควรได้รับคำชื่นชม สำหรับการสร้างภาพยนตร์ที่คงไม่มีที่ไหนให้ทำ แต่พวกเขาก็น่าจะพยายามหาทางให้หนังของตัวเอง ได้ฉายในโรงภาพยนตร์

วิธีการที่เราบริโภคเนื้อหาต่างๆ วิวัฒนาการไปอย่างรวดเร็ว และการสร้างหนังสักเรื่องก็เป็นเรื่องที่ยากขึ้นๆ เรื่อยๆ เน็ทฟลิกซ์แทบจะเป็นวิธีการในอนาคตก็ว่าได้ เมื่อดูไปที่ความสำคัญของพวกเขา และคุณภาพของหนังที่สร้างออกมา หากคงจะดีไม่น้อยถ้าพวกเขารู้สึกถึงการยกย่องประวัติศาสตร์ และคุณค่าของประสบการณ์การชมภาพยนตร์ในโรง เช่นที่คนอื่นๆ เป็น

แม้จะดื้อรั้น ไม่ยอมลดราวาศอก แต่เน็ทฟลิกซ์ก็พยายามหาทางออกให้กับตัวเองด้วย เมื่อเจ้าของโรงหนังไม่ยินดีที่จะฉายหนังของพวกเขาซึ่งออกฉายพร้อมๆ กับการถูกสตรีมมิง วิธีแก้ของพวกเขาก็คือการซื้อโรงภาพยนตร์มาอยู่ในมือเองซะเลย

เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นกับเน็ทฟลิกซ์ไม่ได้จำกัดวงอยู่แค่เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ แต่มีการพูดถึงเรื่องการขาดการฉายภาพยนตร์ผ่านโรงภาพยนตร์ของพวกเขาหนาหูมากขึ้น โดยเฉพาะกรรมวิธีการที่ทำให้หนังมีคุณสมบัติได้เข้าชิงรางวัลต่างๆ ในสหรัฐอเมริกาของเน็ทฟลิกซ์ ด้วยการให้หนังฉายในโรงภาพยนตร์เพียงไม่กี่โรง ทำให้มีรายงานข่าวออกมาว่า เน็ทฟลิกซ์สนใจซื้อเครือโรงภาพยนตร์มาเป็นของตัวเอง ข่าวที่ว่ายังลงลึกไปถึงว่า มีการติดต่อพูดคุยกับโรงภาพยนตร์ในเครือแลนด์มาร์ค เธียเตอร์ของมาร์ค คิวบัน ถึงความเป็นไปได้ในเรื่องนี้แล้ว

เดอะ ลอส กาตอส บริษัทในแคลิฟอร์เนียเผยว่าความคิดที่จะซื้อโรงหนังในลอส แองเจลีส และนิว ยอร์ค จะทำให้สามารถฉายภาพยนตร์ซึ่งเป็นการขยายการฉายทั่วหนังทั่วไป, หนังสารคดีออกไปอีก และผู้บริหารของเน็ทฟลิกซ์ก็สนใจที่จะซื้อแลนด์มาร์ค เธียเตอร์โรงภาพยนตร์ที่มีฐานที่มั่นในลอส แองเจลีส และเป็นเครือข่ายโรงหนังที่มาร์ค คิวบันเป็นเจ้าของร่วม แต่แหล่งข่าวสองรายที่เอาเรื่องนี้มาเผย ก็พูดตรงกันว่าท้ายที่สุดแล้ว ไอเดียนี้ก็ถูกพับฐานไป

โดยหนึ่งในนั้นบอกว่า เน็ทฟลิกซ์บอกศาลาเพราะทางผู้บริหารของพวกเขามองว่าราคาของแลนด์มาร์คสูงเกินไป

ถึงยังไม่มีการเจรจาซื้อขายอย่างเป็นรูปธรรม แต่ความคิดของเน็ทฟลิกซ์ที่จะซื้อเครือข่ายโรงหนังน่าจะเป็นเป็นสัญญาณถึงยุคใหม่ของบริษัทที่เติบโตอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นหนึ่งในบริษัทที่มีอิทธิพลมากที่สุดในอุตสาหกรรมบันเทิง

ปัจจุบันเน็ทฟลิกซ์มีสมาชิกถึง 125 ล้านคนทั่วโลก และฉายผลงานที่เป็นของตัวเองทั้งภาพยนตร์และซีรีส์มากมายหลายเรื่องเป็นประจำทางบริการสตรีมมิงที่เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมองข้ามตลาดภาพยนตร์ตามแบบปฏิบัติทั่วไป รวมไปถึงการฉายผ่านเคเบิลทีวี โดยพวกเขาเผยว่าจะใช้เงินราวๆ 8 พันล้านในปีนี้ ทำหนังของตัวเองรวมไปถึงซื้อสิทธิ์ภาพยนตร์ เพื่อคนที่จ่ายค่าสมาชิกรายเดือนจะได้รับชมกันอย่างจุใจ ทางบริษัทบอกเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้วว่า พวกเขาจะปล่อยหนังของตัวเองปีละ 80 เรื่อง และได้เซ็นสัญญาสร้างภาพยนตร์กับคนดังๆ อย่าง อดัม แซนด์เลอร์, มารฺติน สกอร์เซซี และ เดอะ ดูพลาสส์ บราเธอร์ส เรียบร้อยแล้ว

ปัญหาของเน็ทฟลิกซ์ก็คือ หนังของพวกเขาถูกปฏิเสธจากบรรดาเครือโรงภาพยนตร์หลักๆ และล่าสุดก็ถูกบล็อคจากหนึ่งในเทศกาลภาพยนตร์ที่ใหญ่ที่สุดอย่าง คานส์

ตัวแทนของเน็ทฟลิกซ์และแลนด์มาร์ค ต่างปฏิเสธที่จะให้ความเห็นถึงเรื่องข่าวการซื้อขาย โดยคนใกล้ชิดของเน็ทฟลิกซ์บอกว่า พวกเขายังไม่มีแผนที่จะซื้อแลนด์มาร์ค

ความสนใจที่จะซื้อโรงภาพยนตร์ของเน็ทฟลิกซ์ดูเหมือนเป็นการกลับใจ ทำให้มุมมองของพวกเขาที่มีมานานว่า การปล่อยหนังออกฉายในแบบดั้งเดิมก่อนหน้าที่จะชมกันได้ผ่านการสตรีมมิงเป็นเรื่องล้าสมัย ซาแรนดอสย้ำเสมอถึงเรื่องการฉายหนังทั้งในโรงภาพยนตร์และทางเน็ทฟลิกซ์ แต่ความคิดนี้เป็นเรื่องที่น่าขยะแขยงสำหรับเจ้าของโรงภาพยนตร์ต่างๆ

การเป็นเจ้าของโรงภาพยนตร์นอกจากจะทำให้เน็ทฟลิกซ์สามารถปั้นหนังรางวัลแล้ว ยังทำให้ตัวเองดูดบรรดาคนทำหนังที่อยากเห็นหนังของตัวเองฉายในโรงภาพยนตร์ได้อีกด้วย

“ดูเหมือนว่าเน็ทฟลิกซ์ อยากให้หนังตัวเองเข้าไปมีส่วนร่วมกับออสการ์และรางวัลอื่นๆ ของอุตสาหกรรมภาพยนตร์” เอริค แฮนด์เลอร์ นักวิเคราะห์เกี่ยวเครือข่ายภาพยนตร์กล่าว “พวกเขาพยายามสร้างความน่าเชื่อถือ เน็ทฟลิกซ์เริ่มต้นด้วยการมีหนัง 2-3 เรื่องของตัวเองเข้าชิงรางวัลเอ็มมี ซึ่งเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับสิ่งที่พวกเขาทำ ถ้าพวกเขาทำแบบนี้ได้ในหลายๆ เวทีรางวัล มันจะเป็นการหนุนรูปแบบการฉายหรือออกอากาศแบบนี้ขึ้นไปอีก”

ถึงจะกระตือรือร้น และพยายามมากขนาดไหน เน็ทฟลิกซ์ก็ยังเจาะอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไม่สำเร็จ เสียงฮือฮาสำหรับหนังใหญ่ของพวกเขายากที่จะไปเทียบกับที่หนังทีวีที่มีอยู่ในมือ อย่าง Stranger Things, The Crown และ Orange is the New Black ได้รับ

Mudbound หนังเกี่ยวกับการเหยียดผิวทางตอนใต้ของสหรัฐอเมริกาของดี รีส์ ที่กลายเป็นหนังล่ารางวัลของเน็ทฟลิกซ์ เข้าชิงรางวัลออสการ์ได้ถึง 4 สาขาแต่พลาดหมด คนวงในอุตสาหกรรมภาพยนตร์บอกว่าหนังน่าจะได้รับความสนใจจากผู้ลงคะแนนเสียงของอะคาเดมี หากได้ฉายในวงกว้าง แต่ถึงกระนั้นเน็ทฟลิกซ์ก็คว้าออสการ์มาได้จากหนังสารคดี Icarus ที่ว่าด้วยการโดปยาของนักกีฬารัสเซียในเวลาต่อมา .

หนังแบบบล็อคบัสเตอร์ก็เป็นอีกหนึ่งความพยายามของเน็ทฟลิกซ์ แต่ผลลัพธ์กลับออกมาไม่ดีนัก หนัง Bright หนังทุนสร้าง 90 ล้านดอลลาร์ ที่ได้วิลล์ สมิธรับบทนำ ถูกนักวิจารณ์สับยับ ถึงกระนั้นทางเน็ทฟลิกซ์ก็ออกมาโอ่ว่า หนังได้รับความนิยมมากๆ เป็นตัวเลือกในการชมสำหรับสมาชิก แต่อย่าลืมว่าเน็ทฟลิกซ์ไม่เคยเปิดเผยข้อมูลผู้ชมสำหรับซีรีส์หรือภาพยนตร์ออกมาให้ได้รับรู้กันเลย

ทางบริษัทยังเคยตกลงกับไอแมกซ์ว่าจะปล่อยหนังภาคต่อของ Crouching Tiger, Hidden Dragon ออกฉายในปี 2016 แต่มีโรงหนังไม่กี่โรงที่ตกลงฉายหนังเรื่องนี้ ในปีเดียวกันนี้เน็ทฟลิกซ์ได้เซ็นสัญญาฉายหนังกับเครือโรงหนังที่ฟลอริดา – ไอพิค เธียเตอร์ เพื่อฉายภาพยนตร์ของพวกเขาในโรงหรูๆ รวม 15 โรง ขณะที่ความพยายามสร้างเกียรติยศให้กับหนังของตัวเองเรื่องแรกๆ ด้วยภาพยนตร์เรื่อง Beasts of No Nation ได้ฉายที่โรงของแลนด์มาร์คในปี 2015

“เน็ทฟลิกซ์อยากสร้างตัวเองให้เป็นแหล่งฉายภาพยนตร์รายสำคัญทั้งสองฝั่งของอเมริกา” แหล่งข่าวคนหนึ่งกล่าว “การได้รับการพิจารณาเข้าชิงรางวัล เป็นสิ่งที่พวกเขาต้องการมาก เพราะมันสามารถปล่อยหนังฉายในตลาดหลักๆ ได้”

ความสนใจในธุรกิจโรงภาพยนตร์ของเน็ทฟลิกซ์ มาถึงตอนที่โรงภาพยนตร์ต่างรวมกันเป็นปึกแผ่นพอดี เอเอ็มซี เธียเตอร์เครือโรงภาพยนตร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกถูกขายให้ดาเลียน วันดา กรุปของจีนในปี 2012 จากนั้นเอเอ็มซีก็ซื้อคาร์ไมค์ ซีนีมา และโรงหนังในอังกฤษโอเดียน ซีนีมา ซีเนเวิร์ลด์ที่ลอนดอนก็มีการเจรจากับรีกัล เอนเตอร์เทนเมนท์ เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งทำให้ไม่มีใครคาดว่าเน็ทฟลิกซ์จะซื้อหนึ่งในเครือข่ายโรงฉายภาพยนตร์รายใหญ่ๆ และจริงๆ แล้วพวกเขาให้ความสนใจกับพวกเครือเล็กๆ มากกว่า เพื่อที่จะสามารถก้าวเข้ามาในตลาดสำคัญของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ได้ และทำให้ตัวเลือกที่ชัดเจนที่สุดคือแลนด์มาร์ค ซึ่งเพิ่งจ้างธนาคารเกี่ยวกับการลงทุน มาดูเงื่อนไขต่างๆ หลังจากมีความเป็นไปได้ว่ามีคนสนใจที่จะเจรจาซื้อ

การเจรจาซื้อขายแลนด์มาร์ค ที่เจ้าของคือคิวบันและท็อดด์ แวกเนอร์ จะทำให้เน็ทฟลิกซ์มีโรงภาพยนตร์ในตลาดหลักๆ ทั่วประเทศ โดยจากเว็บไซต์ของบริษัท แลนด์มาร์คมีโรงภาพยนตร์มากถึง 53 โรงคิดเป็น 255 จอ ใน 27 แห่งได้แก่ นิว ยอร์ค, เดนเวอร์, วอชิงตัน และซาน ฟรานซิสโก โดยในลอส แองเจลีสมีถึง 3 โรง ที่สำคัญโรงแลนด์มาร์คเชี่ยวชาญเป็นพิเศษในการฉายภาพยนตร์เฉพาะทาง และหนังต่างประเทศที่มักจะสร้างความฮือฮาให้กับออสการ์

การซื้อโรงหนังเล็กๆ เช่น แลนด์มาร์คเป็นเรื่องยากมากที่จะทำให้เน็ทฟลิกซ์เกิดเงินตึงมือ โดยพวกเขาเป็นแรงสำคัญที่ขับเคลื่อนตลาดมูลค่ากว่าหลายพันล้านดอลลาร์แห่งนี้ โดย คิวบันกับแวกเนอร์ซื้อแลนด์มาร์คมาในปี 2003 จากโอคทรี แคพิตอล บริษัทจัดการสินทรัพย์ โดยใช้เงินไป 40 ล้านดอลลาร์เพื่อดึงบริษัทพ้นจากสภาพล้มละลาย ทั้งคู่เคยบอกขายแลนด์มาร์คในปี 2011 แต่ไม่มีการขายเกิดขึ้น นอกจากนี้คิวบันกับแวกเนอร์ยังเป็นเจ้าของบริษัทจัดจำหน่ายหนังอินดี แมกโนเลีย พิคเจอร์สด้วย

กับการเป็นมหาเศรษฐีพูดจาขวานผ่าซาก และมีบุคลิกแบบพวกหน้าเลือด คิวบันมีความเชื่อมั่นในเน็ทฟลิกซ์ และในงานประชุมทางธุรกิจเมื่อเดือนพฤศจิกายน เขาบอกว่าหุ้นจำนวนมหาศาลของเขาอยู่ในธุรกิจค้าขายออนไลน์ อะเมซอน แล้วก็ตามด้วยเน็ทฟลิกซ์ โดยอะเมซอนถือเป็นคู่แข่งสำคัญของเน็ทฟลิกซ์ ในโลกของธุรกิจสตรีมมิง และวางตัวแตกต่างออกไปเพราะพวกเขายินดีกับการฉายหนังในโรงภาพยนตร์ จับคู่ทำธุรกิจกับสตูดิโอและผู้จัดจำหน่ายรายต่างๆ เพื่อวางหนังอย่าง Manchester By the Sea และ The Big Sick ออกฉายในประเทศ ก่่อนหน้าจะไปให้สมาชิกดูกันทางอะเมซอน ไพรม์ ซึ่งเป็นรูปแบบการทำธุรกิจที่คนทำธุรกิจโรงหนังส่วนใหญ่ให้การต้อนรับ

อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวยังเผยอีกด้วยว่า การเจรจาล้มเหลว “หนึ่งในคนที่รู้เรื่องนี้บอกว่า เน็ทฟลิกซ์ตัดสินใจที่จะไม่เจรจาต่อ เพราะผู้บริหารเชื่อว่าราคาขายของแลนด์มาร์คสูงเกินไป”

การซื้อโรงหนังมาเป็นของตัวเอง ทำให้เน็ทฟลิกซ์ไม่ต้องไปสนใจเจ้าของโรงภาพยนตร์ที่ไม่อยากฉายหนังของพวกเขา ที่ฉายพร้อมๆ กับการถูกสตรีมมิง แล้วยังสามารถให้หนังของตัวเองฉายได้ยาวๆ เพื่อที่จะได้มีสิทธิ์เข้ารับการพิจารณาของออสการ์ รวมไปถึงยังทำให้คนทำหนังได้มีโอกาสเห็นภาพยนตร์ของตัวเองได้ฉายในโรงภาพยนตร์อย่างที่ตั้งใจเอาไว้ ซึ่งดูแล้วน่าจะเป็นทางออกที่ “ได้” กันทุกฝ่าย

จากที่ผ่านๆ มา เน็ทฟลิกซ์แสดงให้เห็นแล้วว่า ไม่รีรอที่จะจ่ายเงิน ผู้บริหารของพวกเขาสามารถจ่ายเงินเป็นร้อยๆ ล้านดอลลาร์เพื่อหนังจะได้กลายเป็นของพวกเขา การซื้อเครือโรงภาพยนตร์เล็กๆ เป็นของตัวเองจึงไม่ใช่เรื่องยาก และหากวันนั้นมาถึงพวกเขาคงถูกมองไม่ต่างไปจากปีศาจ และเป็นอีกหนึ่งองค์กรที่พยายามจะปฏิวัติฮอลลีวูด

โดย ฉัตรเกล้า เรื่อง เน็ทฟลิกซ์ปะทะคานส์ และหมากต่อไปของผู้ให้บริการสตรีมมิงเจ้ายักษ์รายนี้ นิตยสารเอนเตอร์เทน ฉบับที่ 1255 ปักษ์แรก พฤษภาคม 2561

ติดตามอ่านเรื่องราว ข่าวสาร ชมตัวอย่าง ชมคลิป ชม MV อ่านวิจารณ์หนังและเพลง ได้ด้วยการกดไลค์เพจสะเด่าส์ ได้ที่นี่

 

What is your reaction?

Excited
0
Happy
0
In Love
0
Not Sure
0
Silly
0
Sadaos
พบข่าวสารจากวงการหนัง-เพลง ภาพสวยของดาราสาว, วิจารณ์-แนะนำ งานเพลง, ภาพยนตร์ และรับสั่งซื้อ CD/ DVD ทั้งในและต่างประเทศ. Sadaos Is entertainment news page and online shop for people who love movie and music. We sell many entertainment items like used and new DVD, CD, postcards, accessory, souvenirs.

You may also like

More in:FEATURES

Comments are closed.