หากสังเกตดีๆ ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ซาวนด์แทร็คหนังซูเปอร์ฮีโรทั้งหลาย มักมาพร้อมเพลงประกอบที่มีรูปแบบเฉพาะของตัวเอง ทั้งการนำเสนอเพลงใหม่ล้วนๆ อย่าง Black Panther ที่ทำออกมาได้ดี จนกลายเป็นหนึ่งในงานที่ดีที่สุดของปี 2018 ทั้งรวบรวมเอาเพลงคลาสสิคๆ มาประกอบกันเพื่อทำให้หนังมีความสมบูรณ์ โดยเฉพาะในแง่ของการตั้งข้อสงสัยบางอย่าง เช่น อัลบัมซาวนด์แทร็ค Guardians of the Galaxy: Awesome Mix Vol. 1 จนเป็นหนึ่งในอัลบัมซาวนด์แทร็ครวมเพลงเก่าๆ ที่สามารถทำได้ดีถึงขั้นขึ้นอันดับ 1 บนขาร์ทเพลงมาแล้ว
ขณะที่ Guardians of the Galaxy เอาเพลงยุค 70 และ 80 มาใช้ Captain Marvel ก็ขึ้นจอพร้อมกับเพลงจากยุค 90 “เราสร้างสิ่งที่เหมือนกับเป็นเพลย์ลิสท์ขนาดมหึมาขึ้นมา จากนั้นก็แชร์ให้กับทีมงานและนักแสดงบางคนฟัง โดยบางเพลงเหล่านั้นก็จะอยู่ในหนัง เราตัดเอาฉากต่างๆ มารวมกันแล้วก็เปิดเพลงตาม จากนั้นก็ดูว่ามันทำให้รู้สึกยังไง” ไรอัน เฟล็ค ผู้กำกับร่วมของหนังอธิบายถึง วิธีการรวมเพลงต่างๆ ที่ทำให้ซาวนด์แทร็คสร้างความเป็นตัวของตัวเองของหนัง
หนังมีเพลงดังๆ มากมายจากศิลปินเด่นยุคนั้น เช่น R.E.M, Nirvana, TLC, No Doubt ซึ่งคนที่คิดถึงยุค 90 น่าจะสนุกกับหนังได้แน่ๆ และมีอะไรมากมายให้คนรุ่นใหม่ได้ค้นหา และนี่คือบางเพลงจากยุค 90 ที่ได้ยินกันในหนังเรื่องนี้ ซึ่งเว็บไซต์ nme รวบรวมเอาไว้ให้ไปหามาฟังกัน
Whatta Man โดย Salt-N-Pepa: เพลงที่หยิบยืมของดีชื่อเดียวกันจากยุค 60 ของนักร้องเพลงโซล ลินดา ลินเดลล์ มาเปลี่ยนให้กลายเป็นเพลงฮิทในปี 1993 โดยให้ฮิพ-ฮ็อพสามสาววง ซอลท์-เอ็น-เปปา จับคู่กับ En Vogue ที่เนื้อร้องพร่ำบอกถึงความเป็น “ชายหนุ่มแสนดี ที่เต็มไปด้วยกำลังวังชา” ว่าเป็นยังไง อย่างที่นักวิจารณ์คนหนึ่งบอกว่า นี่คือเพลง “ที่ยกย่องความเป็นหนุ่มแมนๆ ที่ใช้เวลาอยู่กับบ้านและช่วยดูแลพวกเด็กๆ”
ถึงจะแจ้งเกิดมาตอนปลายยุค 80 ด้วยเพลงอย่าง “Push It” ที่ตอนนี้กลายเป็นเพลงฮิตในร้านคาราโอเกะไปแล้ว แต่ความสำเร็จในเรื่องยอดขายของซอลท์-เอ็น-เปปา มาถึงพวกเธอในช่วงตอนต้น-กลางยุค 90 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพวกเธอเป็นส่วนหนึ่งของยุคนั้นจริงๆ “Whatta Man” ติดท็อปเทนทั้งฝั่งอังกฤษและอเมริกา กลายเป็นเพลงชาติของสถานีวิทยุทั้งสองฝั่ง แล้วถ้าลองเช็คท่าเต้นในมิวสิค วิดีโอ ไม่มีทางที่เราจะได้เจออะไรที่ 90 สุดๆ มากกว่านี้อีกแล้ว
Connection โดย Elastica: เพลงที่ดังที่สุดเพลงหนึ่งในยุคบริทป็อป อยู่ในอัลบัมชุดแรกเมื่อปี 1995 ของอีลาสติคาที่ใข้ชื่อวงเป็นชื่อชุด ที่อัลบัมต่อจากนี้ทำได้ไม่ดีนัก “Connection” เป็นเพลงที่หยิบยืมอะไรนิดหน่อยมาจาก Wire วงดนตรีโพสท์-พังค์ ในยุค 70 และใช้เสียงกีตาร์ต่อกรกับเสียซินธ์ที่ติดหูได้อย่างสนุก ขณะที่เนื้อหาก็แต่งขึ้นมาได้อย่างคมคายในแบบที่มีอะไรกำกวมให้รู้สึก อย่าง “I don’t understand how a heart is a spade, but somehow the vital connection is made.”
“Connection” เป็นหนึ่งในเพลงที่จะได้ยินแน่ๆ จากงานปาร์ตีของเด็กเรียนศิลปะในลอนดอนยุคนั้น ท่อนเปิดเพลงที่ใช้เสียงซินธ์ถือว่าเป็นหนึ่งในอินโทรแห่งยุค 90 เช่นเดียวกับเสียงกลองและกีตาร์จาก Blur ในเพลง “Song 2” หรือเสียงเครื่องสายที่ไหลบ่าเข้ามา ใน “Bitter Sweet Symphony” จาก The Verve ที่ได้ชื่อว่าเป็นเพลงในมาตรฐานระดับสูงของยุคบริทป็อป
Only Happy When It Rains โดย Garbage: “I only listen to the sad, sad songs, I’m only happy when it rains.” ท่อนหนึ่งของซิงเกิลที่สองจากอัลบัมแรกของการ์เบจ ที่เป็นเพลงแสดงความกราดเกรี้ยวว่าเอาไว้ ถึงแม้เนื้อหาจริงๆ จะเป็นเรื่องการยอมรับความรู้สึกของตัวเอง และใช้คำพูดเหน็บแนม
จะว่าไปแล้ว นี่คือเพลงที่เป็นการตอบสนองในเชิงล้อเลียนกับเพลงกรันจ์ตอนกลางยุค 90 สตีฟ มาร์เคอร์ มือกัตาร์ของวง พูดถึงเพลงนี้ไว้ว่า “มันเป็นเพลงที่เกิดขึ้นเพราะดนตรีกรันจ์ และความเกรี้ยวกราดที่มีเกลื่อนกลาดในแวดงวงดนตรีอัลเทอร์เนถีฟร็อคอเมริกัน กับพวกเรา มันมีเรื่องของการตำหนิตัวเอง เราต้องแหย่ตัวเองเล่นเพราะเราถูกครอบงำด้วยเพลงและเนื้อหาทำนองนั้น จนทำให้ตัวเองเกลียดชังตัวเอง ฮ่าๆๆ”
Waterfalls โดย TLC: เพลงดังที่ได้ยินทั่วทุกแห่งหน จนทำให้หลายๆ คนหลือสารสำคัญที่สื่อไว้ในเนื้อเพลง ซึ่งว่าด้วยการใช้ยาเสพติดและโรคติดต่อทางเพศ โรซอนโด ‘ชิลลิ’ โธมัส นักร้องนำของวง เป็นคนที่อธิบายถึงเรื่องนี้ “อะไรก็ตามที่เป็นการทำลายตัวเอง ซึ่งไม่ต่างไปจากการไล่ตามน้ำตก เราอยากทำเพลงที่มีข้อความแข็งแรงๆ เกี่ยวกับเซ็กส์ที่ไม่มีการป้องกัน, การสำส่อนทางเพศ และการไปขลุกอยู่กับคนผิดๆ และเนื้อหาที่อยู่ในเพลงนี้ มันโดนจังๆ ฉันคิดว่านั่นคือสาเหตุที่ทำให้มันยังคงเป็นเพลงฮิตมาจนถึงทุกวันนี้”
แต่ถึงจะว่าด้วยประเด็นที่หนักหนา “Waterfalls” ยังคงเป็นหนึ่งในเพลงอาร์แอนด์บีสุดฮิตจากยุค 90 ที่มีโบนัสเพิ่มหากคุณสามารถท่องท่อนร้องของ ลิซา ‘เลฟท์ อาย’ โลเปส ได้แบบคำต่อคำ
Come As You Are โดย Nirvana: แม้จะไม่ใช่เพลงทำให้เกิดการถล่มทะลายทางวัฒนธรรมแบบเดียวกับ “Smells Like Teen Spirit” แต่เชื่อเถอะใครๆ ก็รู้จักเพลงนี้ที่มาพร้อมซาวนด์หม่นๆ ซึ่งกลายเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลอย่างสูงกับซาวนด์ดนตรียุคหลังกรันจ์ช่วงปลายยุค 90 – ต้นยุค 00 เพลงนี้ไม่ได้มีความหมายแค่กับเนอร์วานา แต่ยังรวมไปถึงแวดวงดนตรีอัลเทอร์เนถีฟในภาพรวม ขณะที่เนื้อร้องก็เหมือนกับเป็นป้ายยินดีต้อนรับสู่บ้าน อาเบอร์ดีน, วอชิงตัน บ้านเกิดของเคิร์ท โคเบน
นี่คือเพลงที่ทำให้นึกถึงเสื้อเชิร์ทย้วยๆ กางเกงยีนส์ขาดๆ โทนเสียงแหบห้าวของเคิร์ท ใช่ไหม? แล้วไหนจะเนื้อร้องที่กวนความรู้สึก ซึ่งสามารถร้องตามได้ถึงแม้ไม่รู้เลยว่ามันหมายความว่าอะไร ซึ่งนั่นละ โคตร 90 เลย
Just A Girl โดย No Doubt: เพลงแรกที่เกว็น สเตฟานีแต่งขึ้นโดยไม่มีการช่วยเหลือจากเอริค พี่ชาย ที่เขียนได้อย่างเฉลียวฉลาด โดยเฉพาะการพูดย้อนการกีดกันทางเพศ และการเกลียดชังเพศหญิง ซึ่งสเตฟานีเย้ยเอาไว้ได้อย่างแสบสันต์ “I’m just a girl, all pretty and petite / So don’t let me have any rights”
นี่คือเพลงที่ผสมผสานหลักการว่าด้วยความปั่นป่วนแบบพังค์ที่ เข้ากับซาวนด์ที่เป็นมิตรกับชาร์ทเพลงและความเป็นป็อปในงาน “Just A Girl” เป็นเพลงที่องค์ประกอบสำคัญๆ ของงานในยุค 90 มาผสมรวมกันได้อย่างสมบูรณ์ โดยไม่ต้องไปนึกถึงอิทธิพลของสกาในเนื้องาน
Man On The Moon โดย R.E.M: ซิงเกิลที่สองของวงจากอัลบัม Automatic for the People ในปี 1992 ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากตัวตลกที่กลายเป็นศิลปินนักแสดง – แอนดี คอฟแมน ที่มีข่าวลือว่าสร้างการตายแบบหลอกๆ ของตัวเอง ในเพลงไมเคิล สไตป์ใคร่ครวญถึงทฤษฎีสมคบคิดสำคัญๆ ของชีวิต ขณะที่ในมิวสิค วิดีโอเขาสวมหมวกคาวบอยที่ดูมีเสน่ห์สุดๆ
จริงๆ เพลงนี้ให้ความรู้สึกแบบ 80 มากกว่า 90 ไมค์ มิลล์ส มือเบสของวงพูดถึงเพลงนี้ไว้ในปี 2017 ว่า “แอนดีตายจริงไหม? เขาแกล้งตายหรือเปล่า? เขาเป็นคือภูตผีตัวจริงที่พาคุณเดินทางไปกับทัวร์ของคำถามถึงทุกสิ่ง การลงจอดบนดวงจันทร์เกิดขึ้นจริงไหม? เอลวิสตายจริงเหรอ?”
Celebrity Skin โดย Hole: เพลงที่เป็นชื่อชุดจากอัลบัมที่ประสบความสำเร็จทางยอดขายมากที่สุดของโฮล “Celebrity Skin” อ้าแขนรับคอร์นีย์ เลิฟ เข้าสู่สถานภาพใหม่ในโลกของดนตรีเมนสตรีม ด้วยการสวมเสื้อสีดำมากเสน่ห์ของแคลิฟอร์เนีย ราวกับเป็นตราแห่งความภาคภูมิใจ “Wilted and faded / Somewhere in Hollywood / I’m glad I came here / With your pound of flesh”
เป็นเพลงที่อัดแน่นไปด้วยความรู้สึกในช่วงปลายยุค 90 มีทั้งความกราดเกรี้ยว, ความทันสมัย และยังเป็นการชูนิ้วกลางให้กับการขายตัวเองที่ในไม่นานหลังจากนั้นกลายเป็นเรื่องพ้นสมัย
โดย นพปฎล พลศิลป์ เรื่อง เพลงเด่นจากยุค 90 ที่อยู่ในหนัง Captain Marvel คอลัมน์ ดนตรีมีเหตุ หนังสือพิมพ์ ไทยโพสท์ วันที่ 12-13 มีนาคม 2562