Music ReviewREVIEW

The Charlatans ผู้ร่วมบุกเบิก Madchester Scene หรือดนตรี Baggy กับการเดินทางก้าวใหม่

“ชีวิตคือการเดินทาง” เป็นประโยคสั้นๆ ที่ช่างมีความหมายยืดยาวนัก เมื่อตัวอสุจิที่แข็งแรงที่สุดจากหลายล้านตัวได้รอดชีวิตแหวกว่ายไปผสมกับไข่ที่สุกในรังไข่ คำว่า “ปฏิสนธิ” จึงเกิดขึ้น และก้าวแรกในการเดินทางของแต่ละชีวิตก็เริ่มขึ้น

[one_half][/one_half]

ก้าวต่อมาน่าจะเป็นช่วงเวลาที่หัว เท้าหรือทั้งตัวของทุกคนหลุดออกมาจากครรภ์มารดามาสัมผัสโลกภายนอกในครั้งแรก และการเจริญเติบโตเรียนรู้ก็เป็นก้าวต่อๆ มาตามลำดับ ซึ่งแต่ละย่างก้าวของแต่ละคนนั้นย่อมมีความสำคัญอย่างยิ่งต่ออนาคต บางคนอาจก้าวกระโดดไปสู่ความยิ่งใหญ่ ร่ำรวย หรือยากจน เข็ญใจ ก็แล้วแต่โชคชะตาฟ้าจะลิขิตให้แต่ละคนจะเลือกเดินไปทางไหน? ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับความเพียรพยายามของแต่ละคนด้วยเช่นกัน

วันหนึ่ง มีผู้ชาย 4-5 คนเดินทางมาพบกันที่แยกหนึ่งของชีวิต นั่งพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้และระดมความคิดสร้างสรรค์ของแต่ละคนออกมารวมกันเป็นหนึ่ง แล้วเสนอมันออกมาผ่านเสียงดนตรีหลากหลายอารมณ์ หลายจังหวะ หลายเรื่องราวที่แสดงถึงอัตลักษณ์และเอกลักษณ์ของพวกเขาทุกคนได้ทะลุปรุโปร่ง ต่อมางานชิ้นนั้นได้กลายเป็นปรากฏการณ์ เป็นแรงอิทธิพลและแรงบันดาลให้กับผู้คนในยุคนั้นและยุคต่อมามากมายจนถึงปัจจุบัน จะเรียกก้าวย่างของคนกลุ่มนี้เป็น “การเดินทางที่ยิ่งใหญ่” ได้หรือไม่ ?

เราลองย้อนรอยเดินทางกลับไปในปลายยุค 80s กัน ยุคที่คุณยังนั่งอัดเพลงแต่ละเพลงจากเทปคาสเส็ทท์เพื่อรวมเพลงโปรดเอาไปฟังในรถ หรือเอาไปให้เพื่อน ให้แฟน โทรศัพท์ไอโฟนหรือบีบีไม่เคยอยู่ในจินตนาการของคุณมาก่อน และอีเมล หรือ FB คือสิ่งที่คุณเห็นพระเอกในหนังไซไฟฮอลลีวูดใช้เท่านั้น แต่ที่เมืองแมนเชสเตอร์, ประเทศอังกฤษในปี 1989 ได้มี 4 หนุ่มรวมตัวกันตั้งวงดนตรีร็อคชื่อ The Charlatans ขึ้นมา ซึ่งประกอบด้วย Rob Collins เล่นคีย์บอร์ด, Jon Baker เล่นกีตาร์, Martin Blunt เล่นเบส, และ Jon Brookes ตีกลอง ส่วน Tim Burgess นักร้องนำนั้น เข้ามาร่วมวงทีหลัง
ก้าวแรกบนถนนสายดนตรีที่พวกเขาทั้ง 5 คนนั้น กำลังอยู่ในช่วงที่ ซีนดนตรี Madchester Sound (ปี 1987-2002 เป็นยุคที่วงดนตรีจากเมืองแมนเชสเตอร์หลายสิบวง ได้กลายเป็นวงที่มีชื่อเสียงมากที่สุดพร้อมๆกันบนเกาะอังกฤษ นักวิจารณ์จึงใช้ชื่อเมืองเรียกแทนแนวดนตรี แต่เพี้ยนคำให้เป็น Madchester) เข้าครอบครองวงการเพลงอังกฤษ และแปรเปลี่ยนเป็นกระแสอินดี-อัลเทอร์เนทีฟร็อค โด่งดังไปทั่วโลกในยุค 90s มาจนถึงวันนี้

วงบริทป็อปอย่าง The Smiths วงร็อคอย่าง The Rolling Stones, The Kinks, U2 จากยุค70s – 80s และวงพังค์อย่าง Joy Division วงอิเล็กทรอนิกส์ป็อปอย่าง New Order ที่เป็นรุ่นพี่จากเมืองเดียวกันนั้น คือรอยเท้าต้นแบบที่พวกเขาใช้เป็นอิทธิพลและแรงบันดาลใจในก้าวเดินตาม เลยทำให้มีส่วนในการสร้างซีน Madchester Sound ร่วมกับวง The Stone Roses และ Happy Mondays ที่เป็นฮีโร่ของพวกเขา ให้กลายเป็นประวัติศาสตร์หน้าสำคัญของวงการดนตรีอังกฤษและโลกในที่สุด

10 อัลบั้มคือ 10 ก้าวย่างบนเส้นทางดนตรีที่พวกเขาพิสูจน์ให้ผู้คนในวงการดนตรีและแฟนเพลงทั่วโลกได้ประจักษ์แล้วว่า ถนนสายนี้คือ ทางเดินแห่งชีวิตที่มั่นคง แต่ละก้าวเดินที่นับจากอัลบั้มแรก Some Friendly ในปี 1990 ซึ่งมีเพลงฮิตอมตะอย่าง Only One I Know จนถึงอัลบั้ม Tellin’ Stories ในปี 1997 ที่พวกเขาได้สูญเสีย Rob Collins มือคีย์บอร์ดไปเพราะเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์นั้น The Charlatans ที่เหลืออีก 4 คนก็ยังคงก้าวเดินต่อมาอย่างมั่นคงด้วยอัลบั้มต่างๆ ที่เว้นระยะห่างประมาณ 2-3 ปีต่ออัลบั้ม You Cross My Path คืออัลบั้มที่ 10 ที่ออกวางขายเมื่อปี 2008

The Charlatans ไม่ใช่วงดนตรีป็อปร็อค ไม่ใช่วงดนตรีเต้นรำ ไม่ใช่วงดนตรีพังค์ ไม่ใช่วงดนตรีอินดี ร็อคหรือการาจร็อค แต่พวกเขาเป็นวงดนตรีบริทร็อคมาตรฐาน ที่ทำดนตรีร็อคให้กลายเป็นดนตรีเต้นรำได้กลมกล่อมคึกคัก ทำดนตรีพังค์กับดนตรีอินดีร็อคโครมครามให้เป็นดนตรีที่ทรงพลังแต่ไม่หยาบกระด้างและล่องลอยลื่นไหลไม่ต่างไปจากดนตรีไซคีดีลิคร็อค เนื้อหาที่สะท้อนยุคสมัยได้น่าฟังและเห็นภาพถึงเรื่องราวและไลฟ์สไตล์ของแต่ละยุคได้ชัดเจน การแต่งตัวคล้ายฮิปปี้ เสื้อแขนยาวลายทางหรือลายดอกปล่อยกระดุมแขน กางเกงขาบานทรง Baggy จากยุค 70s ทรงผมประบ่าประหนึ่ง Mick Jagger ในวัยหนุ่มเพิ่งฟอร์มวง ได้กลายเป็นสไตล์และแฟชั่นประจำวงจนวัยรุ่นทั่วเกาะอังกฤษพากันแห่ตามสวมใส่กันทั้งเกาะ เลยถูกนักวิจารณ์นำมาใช้เรียกแนวดนตรีของวงที่แต่งตัวแบบนี้ว่า Baggy ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

Who We Touch คืออัลบั้มชุดล่าสุดที่เป็นการเดินทางก้าวใหม่ของ The Charlatans โดยปล่อย Love Is Ending เป็นซิงเกิลแรก และ My Foolish Pride เป็นซิงเกิลที่ 2 ส่วนแทร็คโดดเด่นอื่นๆ ในอัลบั้มนี้ ที่คุณต้องกดฟังหลังจาก 2 แทร็คนั้นคือ Smash The System และ Intimacy เข้าใจว่าผู้อ่านส่วนใหญ่อาจไม่คุ้นเคยกับชื่อวงนี้ เพราะไม่ได้เป็นวงป็อปร็อคชื่อดังตามที่บอกไว้ข้างต้น เลยอาจมีความสงสัยว่า แล้วดนตรีของอัลบั้มชุดนี้เป็นอย่างไร? ผลงานเพลงดังๆ หลายๆ เพลงจากอัลบั้มที่ 1-7 ยอดเยี่ยมแค่ไหนอย่างไร? ถึงทำให้วง The Charlatans วงนี้กลายเป็นขวัญใจคนอังกฤษมายาวนานจนถึงวันนี้

บทเพลงในอัลบั้มชุดนี้ทั้ง 10 เพลงคือคำตอบ แต่กลิ่นอายของดนตรีพังค์ที่สุขุม ไม่พลุ่งพล่านจากอัลบั้ม Tellin’ Stories ในปี 1997 อาจเป็นส่วนผสมที่เข้มข้นฉุนเฉียวมากกว่ากลิ่นอายของดนตรีร็อคและและอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีที่จะให้คุณได้รู้จักวงนี้อย่างถ่องแท้มากขึ้น

ถ้าผมจะบอกคุณว่า บทเพลงทั้ง 10 เพลงในอัลบั้ม Who We Touch คือส่วนผสมที่ลงตัวจากความยอดเยี่ยมของดนตรี 2 ยุคคือดนตรีร็อคของ The Rolling Stones จากยุค 70s กับวง Happy Monday จากยุคปลาย 80s ที่เป็นวง Baggy รุ่นพี่ร่วมเมือง คุณจะเชื่อหรือไม่?….

…..ช่วงเวลาที่พิมม์ต้นฉบับชิ้นนี้อยู่ ทางต้นสังกัดคือ Platinum ได้โทรศัพท์มาบอกว่า กลางเดือนพฤศจิกายนคือเดือนนี้ วง The Charlatans จะเดินทางมาทัวร์ย่านเอเชียเป็นครั้งแรก และกรุงเทพฯประเทศไทยของเรามีโปรแกรม 1 โชว์คอนเสิร์ตในการทัวร์พวกเขาในครั้งนี้ด้วย หวังว่าผมคงได้เจอคุณที่คอนเสิร์ตของ The Charlatans นะครับ….

โดย นรเศรษฐ หมัดคง นิตยสาร Image เดือนพฤศจิกายน 2553
ที่มา https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1446175682284036&set=pb.1439414162960188.-2207520000.1397502023.&type=3&theater

What is your reaction?

Excited
0
Happy
0
In Love
0
Not Sure
0
Silly
0
Sadaos
พบข่าวสารจากวงการหนัง-เพลง ภาพสวยของดาราสาว, วิจารณ์-แนะนำ งานเพลง, ภาพยนตร์ และรับสั่งซื้อ CD/ DVD ทั้งในและต่างประเทศ. Sadaos Is entertainment news page and online shop for people who love movie and music. We sell many entertainment items like used and new DVD, CD, postcards, accessory, souvenirs.

You may also like

More in:Music Review

Comments are closed.