AMY: เป็นหนังสารคดีที่ว่าไปแล้ว กรอบหรือทิศทางในการเดินเรื่องของมันก็ ‘by the book’ พอสมควร นั่นคือการบอกเล่าเส้นทางชีวิตของเอมี่ ไวน์เฮ้าส์ นับตั้งแต่ในช่วงเริ่มต้น แจ้งเกิด ประสบความสำเร็จ การรับมือกับชื่อเสียงที่ถาโถม แอลกอฮอล์ โคเคน เฮโรอีน บูลิเมีย พาพาราซซี่ และ…
แต่ด้วยฟุตเตจที่พาผู้ชมไปสัมผัสห้วงเวลาที่เป็นส่วนตัวมากๆของเธอ และหลายช่วง-ไม่น่าเชื่อว่าพวกเราจะมีโอกาสได้เห็น ประกอบกับกลวิธีในการเรียงร้อยที่ช่างมีเสน่ห์ดึงดูดซะเหลือเกิน มันกลายเป็นหนังที่ทั้งสะเทือนและทั้งสั่นคลอนความรู้สึกอย่างรุนแรง โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ตัวละครมีสภาพเหมือนตกลงไปในทรายดูด และยิ่งเธอดิ้นรนมากเท่าไหร่-ก็ยิ่งดำดิ่งลึกลงสู่ก้นบึ้งมากขึ้นเรื่อยๆ มิหนำซ้ำ คนรอบข้างยังทำอะไรไม่ได้นอกจากเฝ้ามอง หรือในกรณีที่ย่ำแย่สุดๆ-ก็คือ ตักตวงและฉวยประโยชน์จากสภาวะดังกล่าวอย่างน่าเวทนา
ความ irony อย่างถึงที่สุด-อยู่ตรงที่หนังสารคดีบอกว่าเอมี่ ไวน์เฮาส์มีแทบทุกอย่างที่เธอสามารถจะมีได้ อีกทั้งคนรอบข้างก็เป็นธุระให้แทบทุกเรื่อง ทว่าประโยคในช่วงท้ายๆที่บอกถึงความจนตรอกของนักร้องสาว-ก็คือตอนที่เจ้าตัวพูดทำนองว่า เธอยอมแลกทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองได้หวนกลับไปเดินถนนเหมือนกับคนธรรมดาสามัญอีกครั้ง เพราะจากที่หนังให้เห็น ไม่ว่าเธอจะไปไหน-ก็ต้องเผชิญกับกองทัพพาพาราซซี่ซึ่งเปรียบไปแล้ว ก็ไม่แตกต่างไปจากฝูงหมาป่าไฮยีน่าที่เฝ้าคอยอย่างอดทน พร้อมจะไล่ล่าและจ้องจะรุมทึ้งเหมือนเป็นเหยื่ออันโอชะอย่างกระเหี้ยนกระหือรือ
แต่อะไรก็ไม่ชวนให้ตรอมใจเท่ากับการที่หนังใช้เวลาร่วมสองชั่วโมง-ถ่ายทอดให้ผู้ชมได้เห็นความมีชีวิตและความเป็นมนุษย์ของเอมี่ ไวน์เฮาส์ การดิ้นรนเพื่อรักษาความสมประดีในท่ามกลางพายุชื่อเสียงและความสำเร็จอันบ้าคลั่ง ทั้งหมดทั้งมวล-เพียงเพื่อจะนำไปสู่บทสรุปที่ผู้ชมรับรู้อยู่แล้วตั้งแต่แรก แต่ก็อีกนั่นแหละ พอ ‘มัน’ เกิดขึ้น อานุภาพในการทำลายล้าง-ก็น่าจะถึงกับทำให้ผู้ชมเดินออกจากโรงในสภาพที่ ‘ข้างใน’ ของพวกเรา-กลายเป็นซากปรักหักพัง
โดย ประวิทย์ แต่งอักษร
สามารถกดไลค์ Like ติดตามเพจสะเด่าส์ ได้ที่นี่