Movie ReviewREVIEW

ดูมาแล้ว – ENDINGS, BEGINNINGS ความหละหลวมของตัวละคร ภายใต้งานการแสดงที่ดี ** ½

ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในชีวิต​ อาจนำไปสู่สถานการณ์ที่ยุ่งเหยิงมากขึ้นได้ไม่ยาก บ้างก็แก้ไขได้ บ้างก็กลายเป็นปัญหาคาราคาซังทั้งชีวิต แต่ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร สิ่งที่เกิดขึ้นก็จะกลายเป็นประสบการณ์ เป็นบทเรียนชีวิต ให้ได้รู้ให้ได้จำว่า ทางออกของปัญหา หรือว่าทางเลี่ยงของมันอยู่ที่ไหน เพื่อที่จะได้ก้าวต่อไปอย่างมั่นคง

ดาฟเน (ไชลีน วูดลีย์) ต้องเลิกกับแฟนหนุ่มที่คบกันมาสี่ปี ลาออกจากงานด้วยปัญหาบางอย่าง ทั้งที่เข้าไปทำงานได้ไม่ถึงปี แล้วก็ออกจากอพาร์ทเมนท์มาอยู่ในบ้านรับแขกของบิลลี (ลินด์เซย์ สโลน) พี่สาวที่อยู่กับสามีและลูกสาว พร้อมพยายามหางานทำ แต่ก็ยังไม่เป็นโล้เป็นพาย รวมทั้งพยายามจะตัดขาดจากสิ่งต่างๆ ที่ทำให้ชีวิตของไม่เดินหน้าไปด้วยดี

หากระหว่างนี้ดาฟเนก็ได้พบกับสองหนุ่มที่แม้จะหล่อเหลาไม่แพ้กัน เป็นเพื่อนกัน แต่นิสัยใจคอนั้น เป็นคนละขั้ว แฟรงค์ (เซบาสเตียน สแตน) หนุ่มมาดเท่ เจ้าเสน่ห์ และเจ้าคารม กับแจ็ค (เจมี ดอร์แนน) นักเขียนหนุ่มและอาจารย์ ผู้มีความคิด ใช้ชีวิตอย่างเป็นเหตุเป็นผล ทั้งคู่เข้ามาพัวพันกับชีวิตของดาฟเน และทำให้เธอยุติการถือศีลอดบางสิ่งที่ทำเป็นประจำ แล้วก็มีความสัมพันธ์กับทั้งสองคน ซึ่งกลายเป็นการส่งชีวิตเธอกลับไปสู่ความยุ่งเหยิงอีกครั้ง และน่าจะมากกว่าที่เคย โดยเฉพาะเมื่อเธอจะไม่ได้มีแค่ตัวคนเดียวอีกต่อไป

เป็นอีกครั้งที่เดร็ค ดอเรมุส ผู้กำกับที่สร้างชื่อมาจากหนังดรามา-โรแมนติก Like Crazy ได้นักแสดงชั้นดีมาร่วมงาน จากหนังเรื่องดังของเขาที่ได้ แอนตัน เยลท์ชิน, เฟเลซิตี โจนส์ ​และเจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ แสดงนำ แล้วตามด้วยงานไซ-ไฟ, โรแมนติก Equals ที่นิโคลาส โฮลท์ประกบกับคริสเทน สจวร์ท ต่อด้วย Zoe งานโรแมนติก, ไซ-ไฟ ที่ขนนักแสดงชื่อดัง (และเล่นดี) มาท่วมจอ ยวน แม็คเกรเกอร์, ลีอา เซย์ดูก์ซ, คริสตินา อากีเลรา, ธีโอ เจมส์, ราชิดา โจนส์, มิแรนดา อ็อตโต ซึ่งไม่นับ Zoe ที่ไม่ได้ชม นักแสดงแต่ละคนในหนังของดอเรมุส ถือว่าทำได้ดีสมราคา

แล้วกับคราวนี้ ที่เป็นเวลาของวูดลีย์, ดอร์แนน และสแตน การแสดงที่ทั้งสามคนมอบให้ ถือได้ว่าเป็นส่วนที่ดีที่สุดของหนัง รองลงมาก็คืองานเพลงประกอบ ที่ขนเพลงดีๆ เท่ๆ มากมายเข้ามาใส่ในเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น “Cherry Coloured Funk” ของ Cocteau Twins, “Damn I Wish I Was Your Lover” โดย โซฟี บี. ฮอว์คินส์, “Dreams” จาก the Cranberries ที่ไม่ใช่แค่ไพเราะ เพราะบางเพลงก็มีความหมายกับหนังมากกว่าการสร้างอารมณ์ให้กับภาพ เติมบรรยากาศให้กับเรื่อง เช่นที่ “Losing My Religion” ของ R.E.M. แสดงออกมาให้เห็น เมื่อสามารถบ่งบอกความรู้สึกของตัวละคร ไปพร้อมๆ กับฟังเพลิน และเสริมบรรยากาศของหนังในคราวเดียวกัน

หากที่น่าเสียดายก็คือ สิ่งที่ควรแข็งแรงที่สุดอย่างเรื่องหรือว่าบท กลับทำได้ไม่ดีพอเช่นที่การแสดงหรือว่าเพลงประกอบทำเอาไว้ โดยเฉพาะดาฟเน ตัวละครหลัก ที่ต้องเรียนรู้จากความผิดพลาดในอดีตของตัวเอง เพื่อที่จะก้าวไปเป็นคนที่ดีกว่าเดิมในอนาคต เพราะตัวละครของวูดลีย์ กลับทำความผิดพลาดเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยเธอเองก็ไม่ใช่ว่าไม่รู้ตัวว่าตัวเองทำอะไรผิด หรือเผลอไผลยังไง แล้วผลของมันคืออะไร

นอกจากจะทำให้ตัวละครรายนี้ดู (เหมือน) ไม่มีพัฒนาการ หรือมีก็น้อยมากโดยเฉพาะในเรื่องของความรัก ยังทำให้ดาฟเนเป็นตัวละครที่คนดูยากจะรัก เห็นได้ชัดจากเมื่อเธอต้องเจอกับสถานการณ์ทางซ้ายก็ใช่ทางขวาก็ดี กลับกลายเป็นผู้ชมเลือกที่จะเอาใจช่วยตัวละครชายบางรายมากกว่าว่า อย่าเลือกเธอเลย

ด้วยนิสัยใจคอ การเป็นผู้หญิงที่พร้อมจะปล่อยตัว ปล่อยใจไปกับใครที่พึงใจ ก็ไม่น่าจะทำให้ดาฟเนรู้สึกกับความพลั้งเผลอระหว่างเธอกับเพื่อนร่วมงานได้แรงพอ จนนำไปสู่การตัดสินใจที่ิผิดพลาดเรื่องความรักอย่างที่เห็น กับความสัมพันธ์ในครอบครัว โดยเฉพาะกับแม่ แม้จะไม่ยอมรับกับสิ่งที่แม่เป็น แต่ความเป็นไปในชีวิตของผู้ให้กำเนิด ก็น่าจะเป็นบทเรียนสำหรับดาฟเนได้บ้าง ไม่ใช่เอาแต่ตั้งการ์ดสูงใส่

ยังดีที่ในตอนท้าย เธอก็ไม่ถึงกับไร้พัฒนาการ เมื่อยอมรับว่าความสัมพันธ์กับแฟนเก่า เขาคือคนที่ใช่ และเธอต่างหากที่ไม่ใช่ แล้วเมื่อรับรู้สิ่งที่แม่ทำและตัดสินใจ ดาฟเนก็ให้แม่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต ถึงกระนั้นหากมองจากการแข็งขืนที่เธอแสดงให้เห็นมาตลอด ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเลยดูไม่สมเหตุสมผล หรือง่ายจนเกินไป แล้วในฐานะของตัวละครหลัก เป็นศูนย์กลางของหนัง ความยวบยาบที่เกิดขึ้น ก็ทำให้เกิดความอึดอัดกับวิธีคิดตลอดจนการกระทำของตัวละคร เปลี่ยนเป็นความน่ารำคาญได้ง่ายๆ แล้วก็สร้างระยะห่างหรือกำแพงสูงระหว่างผู้ชมกับตัวละคร จนยากจะรักอย่างที่ว่าไว้ข้างต้น

จังหวะในการเล่าเรื่องก็เนิบนาบ ทั้งๆ ที่หลายๆ สถานการณ์สามารถบีบ-ขยี้ผู้ชม หรือกดดันตัวละครเพื่อสร้างอารมณ์ เป็นไฮไลท์ เป็นความจัดจ้านของหนังได้ แต่ก็เลือกจะไม่ใช้ประโยชน์จากตรงนั้น ดีที่อย่างน้อยก็ยังพอมีชั้นเชิงในการเล่าเรื่อง เมื่อนำเหตุการณ์ในอดีตมาแทรกใส่ เผยและเฉลยความเป็นไปของดาฟเน รวมถึงสาเหตุที่ทำให้เธอมาถึงจุดนี้ทีละนิด เป็นระยะ แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้มากนัก เพราะการกระทำของเธอหลังจากนั้น ไม่รับกับสิ่งที่เกิดกับเธอก่อนหน้า

เพราะฉะนั้นอย่าแปลกใจ ถ้าไม่เออออไปกับการตัดสินใจของดาฟเนในตอนท้าย แถมหากเธอ เลือกทำตรงกันข้ามอาจจะรู้สึกดีกว่าด้วยซ้ำ เช่นเดียวกับที่สมน้ำหน้าเธอจากชะตากรรมที่ได้รับ เพราะความไม่ยั้งคิดและปล่อยตัวไปกับอารมณ์มากกว่าเหตุผล

หลังแจ้งเกิดจาก Like Crazy งานต่อๆ มาของเดร็ค ดอเรมุส ไม่เคยไปถึงจุดเดียวกัน แม้จะมีองค์ประกอบหลายๆ อย่างที่ดี แต่ก็จะมีอะไรดึงให้หนังไปไม่ถึงฝั่งฝันมาโดยตลอด และกับ Endings, Beginnings อย่างหนึ่งที่รู้สึกก็คือ ความพยายามเล่าเรื่องในแบบที่คิดว่าตัวเองดู ‘จริง’ โดยไม่มีการแต่งเติมทางด้านอารมณ์ แต่เมื่อไอ้ที่คิดว่า ‘จริง’ มันดันไม่ ‘จริง’ ขึ้นมา เพราะอย่าลืมว่า ดาฟเน่ ไม่ใช่เด็กมหาวิทยาลัยหรือสาววัยรุ่น แต่เป็นผู้หญิงอายุ 30 อัพ ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาประมาณหนึ่ง น่าจะรู้คิดรู้ทำมากกว่าที่เป็น หนังเลยไปไม่ถึงไหนอย่างที่เห็น

ต่อให้การแสดงจะดีเลิศ หรือองค์ประกอบบางอย่างงามสวยขนาดไหน ด้วยความหละหลวมของตัวละคร ยากเหลือเกินที่ผลลัพธ์จะออกมาดีได้ในท้ายที่สุด

โดย นพปฎล พลศิลป์ คอลัมน์ ชำแหละแผ่นฟิล์ม นิตยสารเอนเตอร์เทน 1322 ปักษ์หลัง กุมภาพันธ์ 2564

ติดตามอ่านเรื่องราว ข่าวสาร ชมตัวอย่าง ชมคลิป ชม MV อ่านวิจารณ์หนังและเพลง ได้ด้วยการกดไลค์เพจสะเด่าส์ ได้ที่นี่
[one_half][/one_half][one_half_last][/one_half_last]

What is your reaction?

Excited
0
Happy
0
In Love
0
Not Sure
0
Silly
0
Sadaos
พบข่าวสารจากวงการหนัง-เพลง ภาพสวยของดาราสาว, วิจารณ์-แนะนำ งานเพลง, ภาพยนตร์ และรับสั่งซื้อ CD/ DVD ทั้งในและต่างประเทศ. Sadaos Is entertainment news page and online shop for people who love movie and music. We sell many entertainment items like used and new DVD, CD, postcards, accessory, souvenirs.

You may also like

More in:Movie Review

Comments are closed.