
ความแตกต่างสำคัญอย่างหนึ่ง ของหนัง ‘Fantastic Beast’ สองเรื่องแรกและหนังเรื่องล่าสุด ‘The Secret of Dumbledore’ ไม่ใช่อยู่ที่การเปลี่ยนแปลงนักแสดงผู้รับบทเกลเลิร์ต กรินเดลวัลด์ แต่เป็นเรื่องการเพิ่มสตีฟ โคล์ฟส์ เข้ามาทำหน้าที่เขียนบทอีกคน หลังเจ.เค. โรว์ลิงเจ้าของเรื่อง นั่งเก้าอี้คนเดียวลำพังมาตลอด เพราะหากเทียบกับการเล่าเรื่องของหนังสองภาคแรก กับเรื่องนี้แล้ว ‘The Secret of Dumbledore’ ดูจะกลมกลืนและลงตัวมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด เพราะกับในหนังสองภาคแรก การเปลี่ยนผ่านจากสถานการณ์หนึ่งไปสู่อีกสถานการณ์หนึ่งดูจะไม่ลื่นไหล รู้สึกโดด ๆ อย่างเห็นได้ชัด มุขตลกอารมณ์ขันดูจะเข้าที่เข้าทางมากขึ้น จังหวะในการเล่าเรื่องก็ดูลงตัวกว่า ไม่หมดเปลืองเวลาไปกับการโชว์บรรดาสัตว์ในกระเป๋าของนิวต์ สคาแมนเดอร์ที่ไป ๆ มา ๆ ก็มีกี่ตัวที่มีบทบาทในเรื่อง
หนังว่าด้วยการพยายามเข้าไปมีส่วนร่วมในการเลือกตั้งผู้นำของเหล่าพ่อมด-แม่มด ที่ผู้ตัดสินก็คือ กิเลน สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ที่ในต้นเรื่องนิวต์พยายามชิงมันมาให้ได้ก่อนที่จะตกไปอยู่ในมือของกรินเดลวัลด์ หากก็พลาด แต่โชคก็ยังเข้าข้าง เพราะแม่กิเลนไม่ได้ให้กำเนิดลูกเพียงตัวเดียว หากเขาก็ต้องหาทางเข้าไปมีส่วนร่วมกับการเลือกผู้นำครั้งนี้ให้ได้ โดยต้องอาศัยความช่วยเหลือของดัมเบิลดอร์ ที่ก็ไม่สามารถเข้าไปขวางหรือจัดการกับกรินเดลวัลด์ได้อย่างเต็มตัว เนื่องจากความสัมพันธ์เมื่อครั้งอดีตก่อให้เกิดสัญญาเลือดขึ้นมา แต่อย่างน้อยเขาก็ช่วยวางแผนและจัดทีมช่วยเหลือให้กับนิวต์ ที่มีทั้งพ่อมด-แม่มด, คนของกระทรวงเวทมนต์ และมนุษย์ อย่าง เจค็อบ
โครงเรื่องของหนังมีความเป็นงานจารกรรม สายลับ ในสไตล์อย่าง ‘Mission: Impossible’ ชัดเจน แต่ยังคุมโทน คุมบรรยากาศในแบบงานแฟนตาซีสไตล์ ‘Harry Potter’ ที่ดูนุ่มนวล ให้ความรู้สึกละเมียดเอาไว้ ซึ่งก็ต้องให้เครดิตกับพีเทอร์ เยตส์ ที่ตามมากำกับหนังชุดนี้ต่อ หลังจากหนัง ‘Harry Potter’ จบชุด นั่นคือในแง่ดี ที่หนังไม่หลุดไปจากทางที่ตัวเองวางเอาไว้ แต่ในขณะเดียวกันหนังก็ไม่ได้ออกมาดูเข้มข้น จริงจัง หรือดุดัน อย่างที่ควรจะเป็น แม้จะมีเหตุการณ์ที่น่าตื่นเต้น หรือทำให้ลุ้นได้หลายครั้งหลายครา ไม่ว่าจะเป็น ฉากการลอบสังหารในเยอรมัน หรือว่าฉากที่ภูฏานในตอนท้ายเรื่อง ที่ดูเรียบเรื่อย ไม่ได้ระทึก หรือตื่นเต้นไปกับสถานการณ์ที่ตัวละครต้องเผชิญ
เรื่องราวต่าง ๆ ที่แทรกเข้ามาในเรื่อง ไม่หลุดและโดด หากเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของหนัง ไม่ออกมาาะเปะสะปะ ไม่ว่าจะเป็น ความสัมพันธ์ของดัมเบิลดอร์กับกรินเดลวัลด์, ความเป็นมาของครีแดนซ์, เรื่องราวในส่วนโรแมนซ์ ที่ว่าด้วยความรักของควีนนีและเจค็อบ ที่ล้วนไหลมารวมเข้าด้วยกันในตอนท้ายได้อย่างลงตัว
แมดส์ มิกเคลเซน ก็ทำได้ดีในบทกรินเดลวัลด์ รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงแค่ภาพลักษ์ ซึ่งจริง ๆ แล้วอาจจะเป็นเพราะจอห์นนี เด็ปป์เองก็ไม่ได้ปรากฏตัวในหนังชุดนี้ระดับที่ผู้ชม ‘จำ’ หรือ ‘ติดตา’ แต่ที่ออกมาไม่ดี และเป็นปัญหาใหญ่ของหนังก็คือ นิวต์ สคาแมนเดอร์ ของ เอ็ดดี เรดเมย์น ที่ดูหงอย ๆ และถูกข่มโดยนักแสดงที่อยู่รายรอบ กระทั่งสง่าราศีของธีซีอุส พี่ชาย ที่รับบทโดยคัลลัม เทอร์เนอร์ ยังดูดีกว่า ยิ่งในฉากสุดท้ายที่ภูฏาน เรดเมย์นและนิวต์จมหายไปกับเรื่องสนิท
ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่อีกอย่างของหนังที่คงต้องหาทางออกกันต่อไป เช่นเดียวกับการเล่าเรื่องที่ทำยังไงจะให้มีชีวิตชีวา มีความจ้ดจ้าน ฉูดฉาด แบบไม่เสียบรรยากาศแฟนตาซีที่สร้างมาจนมีลักษณะเฉพาะตัวของหนังไป เพราะถ้าทำได้ แล้วหนังสามารถเดินเรื่องได้กลมกลืนแบบนี้ในภาคที่เหลือ ความบันเทิงย่อมจะยกระดับมากขึ้นไปแน่นอน
โดย นพปฎล พลศิลป์
ให้กำลังใจและสนับสนุนเราได้ที่บัญชีธนาคารกสิกรไทย หมายเลข 100-2-10283-4 แล้วแจ้งมาที่กล่องข้อความของเพจ sadaos หรือที่อีเมล shopsadaos@gmail.com เพื่อรับของขวัญแทนน้ำใจ
ติดตามอ่านเรื่องราว ข่าวสาร ชมตัวอย่าง ชมคลิป ชม MV อ่านวิจารณ์หนังและเพลง ได้ด้วยการกดไลค์เพจสะเด่าส์ ได้ที่นี่