
รายได้ 400 ล้านเหรียญ คือเส้นตายสำหรับหนังยักษ์ ลงทุนสูง และเป็นความหวังของสตูดิโอสักเรื่อส่วนใหญ่ต้องทำให้ได้ เพื่อจะได้รับการพิจารณาในการทำภาคต่อ ซึ่งเป็นตัวเลขรายได้ในระดับเพียงแค่เสมอตัวเท่านั้นเอง สำหรับหนังที่อยู่ในความเสี่ยงที่ไม่น่าอภิรมย์ แต่ก็มากพอจะทำให้ทางสตูดิโอให้ความสนใจถึงอนาคตของหนัง
กับการประกาศสร้างภาคต่อของ Pacific Rim ถือเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจ เมื่อมองดูว่ารายได้ของหนังภาคแรกนั้นอยู่ในข่ายที่น่าผิดหวัง รายได้ในอเมริกาทำไปเพียงทะลุ 100 ล้านเหรียญ ส่วนในตลาดต่างประเทศ ก็ดีกว่านิดหน่อยในระดับแค่มากพอลากรายได้รวมทั่วโลกไปถึง 400 ล้านเหรียญ กับการที่หนังลงไปเยอะ ทั้งทุนสร้าง และงบโปรโมท รายได้ไม่พอที่จะกลบเงินที่ลงไปได้แน่นอน แค่ไม่ทำให้ได้ชื่อว่าเป็นหนังคว่ำ แต่ก็เรียกไม่ได้ว่าเป็นหนังฮิต เป็นรายได้ระดับปานกลาง สำหรับหนังที่ทำได้ดีประมาณหนึ่งเท่านั้นเอง การที่ลีเจนดารี ฟิล์มส์ กำลังจะลงทุนกับหนังเรื่องนี้อีก ก็ไม่ต่างไปจากการเบิลเงินเดิมพัน กับของที่ไม่น่าลงทุน เพราะอะไร?
มีมุมให้คิดอยู่ 2 มุม มุมแรกอาจจะมีบางคนในบริษัท ที่เป็นผู้บริหารระดับสูง เชื่อว่าการที่หนังได้รับความสนใจประมาณหนึ่ง กำลังจะก้าวเดินเติบโตไปอย่างมั่นคงในระดับที่สูงขึ้นได้ นั่นคือหนังภาคแรกได้รับเสียงตอบรับที่ดี และน่าจะมีรายได้มากขึ้นกลับมา ซึ่งเป็นการเติบโตในแบบเดียวกับหนัง Batman ภาคแรกกับภาคสองของโนแลน Batman Begins ทำรายได้ประมาณ 400 ล้านเหรียญทั่วโลก ในอีกไม่กี่ปีต่อมา The Dark Knight ทำเงินเป็นพันล้าน ซึ่งเป็นบางสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นในปีนี้กับหนังอย่าง X-Men: Days of Future Past ซึ่งทำรายได้ดีขึ้นมากๆ อย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับหนัง X-Men เรื่องก่อนๆ ในระดับที่เพิ่มมากขึ้นถึง 200 ล้านเหรียญ เป็นการแสดงให้เห็นว่ามีการเติบโตที่ชัดเจน สำหรับการเป็นหนังภาคต่อที่มีสถานภาพมั่นคง
มุมที่ 2 น่าจะเป็นไปตามที่นักวิเคราะห์บางคนเชื่อว่า ตอนนี้เพดานรายได้ของหนัง Pacific Rim 2 น่าจะอยู่ที่ 400 ล้านเหรียญ ซึ่งเป็นรายได้ที่น้อยที่สุดที่หนังต้องทำให้ได้เพื่อที่จะเท่าทุนที่ลงไป เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ไม่ใช่หนแรกที่ทางสตูดิโอเลือกลงทุนกับหนังที่น่าผิดหวัง หรือหนังที่ทำได้ไม่ดีตามคาด ที่ตลกยิ่งกว่านั้นก็คือ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดขึ้นกับ กีแยร์โม เดล โทโร Hellboy หนังที่บรรดาเด็กแนวทั้งหลายรักๆ แต่คนดูทั่วไปกลับเฉยๆ คือเรื่องนั้น ยูนิเวอร์แซลตัดสินใจสร้างภาคต่อของหนังที่เป็นการพยายามสร้างงานภาคต่อชุดใหม่ที่ล้มเหลว ด้วย Hellboy II: The Golden Army และผลลัพธ์ดีกว่าเดิมเล็กน้อย แต่ก็เหนื่อยกันหนักกว่าจะได้เงินคืนมา กระทั่งภาค 2 ไม่ประสบความสำเร็จ แฟนๆ ก็ยังเรียกหาภาค 3 ซึ่งดูแล้วไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่ในโลกทุกวันนี้ที่ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้ หนังภาคต่อไม่จำเป็นต้องประสบความสำเร็จเพื่อจะได้สร้างต่อ ขอแค่ทำได้เท่าทุนก็พอ
มีหนังจำนวนหนึ่งในยุค 2000’s ที่ทำได้ดีพอประมาณ และได้โอกาสครั้งที่สอง อย่าง หนังที่เอา Clash of the Titans มารีบูท ซึ่งทำเงินไปเกือบๆ 500 ล้านเหรียญทั่วโลก จากทุนสร้าง 125 ล้านเหรียญ แม้จะไปได้ไม่ดีนัก แต่ก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นของภาค 2 ผลลัพธ์ก็คือ หนังที่คุณภาพพอๆ กันอย่าง Wrath of the Titans ทำรายได้แค่ผ่าน 300 ล้านเหรียญ และอนาคตก็จบลง กับหนังชุด Percy Jackson ก็ไม่ต่างกัน เมื่อมีการสร้างภาคต่อ หลังภาคแรกที่เจ็บตัวซิบๆ
มีหนังภาคต่ออีกมากที่อยู่ในข่ายนี้ โดยสตูดิโอต้องวางเดิมพันกับรายได้ที่มากขึ้นในตลาดนอกอเมริกา สำหรับปล่อยหนังที่พอมีความเป็นไปได้ กับการเป็นหนังภาคต่อรายได้พอเท่าทุน Pacific Rim ก็คือหนึ่งในเรื่องนั้น เช่นเดียวกับ Prometheus และ Snow White & the Huntsman ที่กำลังพัฒนากันอย่างคร่ำเคร่งเพื่อภาคต่อ ทั้งๆ ที่ทำรายได้แค่ในระดับหนึ่งและแบ่งคนดูเป็นสองขั้วชัดเจน
หนังภาคต่อบางชุดยังได้สร้างต่อ แม้จะทำรายได้ไม่มากไม่มาย แต่เป็นด้วยความเคยชิน อย่าง หนัง The Terminator, หนังเดี่ยวของ วูลฟ์เวอรีน, หนังชุด Narnia, หนังภาคต่อชุดใหม่ของ Die Hard และหนังชุด G.I. Joe (ซึ่งเป็นไปได้เพราะว่า รายได้ในตลาดต่างประเทศมารับเอาไว้ – ผู้แปล/เรียบเรียง) เพราะเป็นงานที่อยู่ในความรับรู้ของคนดูว่า มีภาคต่อแน่ๆ และอย่าลืมว่า เท่าทุนก็ดีกว่าขาดทุน
ปัญหาของหนังภาคต่อที่ทำรายได้ในระดับดีพอประมาณเหล่านี้ก็คือ การเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมป็อป ทำให้ความคิดที่ว่า สมบัติทางปัญญาสามารถคงอยู่ได้ตลอดไป เป็นเรื่องที่มีอยู่จริง แม้จะไม่ได้สร้างความประทับใจให้กับทั้งคนดูและ/หรือสตูดิโอ
ไม่มีอะไรที่เป็นเรื่องผิด สำหรับการลงเดิมพันเพิ่มไปอีก และการเป็นหนังภาคต่อที่ทำได้แค่ในระดับหนึ่ง แต่มันทำให้ความคิดที่ว่าฮอลลีวูดไม่ชอบอะไรใหม่ๆ ชัดเจนยิ่งขึ้น เพราะพวกเขายอมลงทุนกับหนังที่น่าผิดหวัง ด้วยความที่มันเสี่ยงน้อยกว่าการทำอะไรใหม่ๆ ซึ่งประโยคนี้ น่าจะเป็นคำตอบสำหรับการโต้แย้งที่ว่า Pacific Rim เป็นสมบัติทางความคิดใหม่ๆ แต่มันจริงหรือ? การหยิบยืมสิ่งต่างๆ มาจากมังงะ และอะนิเมะอย่างหนักหน่วง รวมไปถึงหนังสัตว์ประหลาดทั้งหลายที่ประสบความสำเร็จในอีกส่วนหนึ่งของโลก Pacific Rim พยายามสร้างความเป็นตะวันตกให้กับคอนเส็ปท์ที่มีอยู่แล้ว และก็ทำได้แค่พอใช้ได้ในหลายๆ ระดับ และกีแยร์โม เดล โทโร ได้โอกาสเล่นของเล่นของเขาอีกครั้ง เพราะฮอลลีวูดรู้สึกสบายใจกับเรื่องราวที่พวกเขารู้อยู่แล้ว มากกว่าอะไรที่พวกเขาไม่รู้ ซึ่งก็เหมือนกับที่เกิดขึ้นกับ Hellboy
แต่เขาควรได้รับโอกาสนั้นไหม? ก็น่าจะนะ ไม่มีใครที่สงสัยในความเป็นคนทำงานหนักของเดล โทโร แต่ความสำเร็จก็เป็นสิ่งที่คนทำหนังถูกเรียกร้อง เพื่อที่จะได้ตั๋วกลับมาทำภาคต่อที่กำลังผลิดอกออกผล กับ Hellboy และตอนนี้ Pacific Rim เดล โทโร กำลังจะกลายเป็นคนทำหนังที่ได้รับรางวัลอย่างต่อเนื่อง แม้ไม่สามารถทำหนังฮิตจริงๆ ออกมาได้
สิ่งเหล่านี้กลายเป็นปัญหา เมื่อโรงภาพยนตร์เต็มไปด้วยหนังภาคต่อที่ทำออกมาได้แค่ดีในระดับหนึ่ง ที่มีโอกาสได้หายใจต่อ เพราะฮอลลีวูดยินดีลงขันต่อกับความคุ้นเคย และนี่คือการกลัวความล้มเหลว ที่สตูดิโอกำลังใช้ในการสร้างหนังสักเรื่องหรือเปล่า?
ไปๆ มาๆ ฮอลลีวูดก็ยังอั้นเดิมพันของตัวเองอยู่ดีิ ซึ่งน่าผิดหวังมากๆ
แปล/เรียบเรียง จากบทความของ Anghus Houvouras จาก www.flickeringmyth.com