FEATURESMovie Featuresสัมไม่พลาด

สัม (ไม่) พลาด มอง The Godfather ย้อนหลัง 50 ปี กับฟรานซิส ฟอร์ด ค็อปโพลา

หนัง ‘The Godfather’ ไม่ได้แค่เปลี่ยนแปลงชีวิตของฟรานซิส ฟอร์ด ค็อปโพลา แต่มันยังเปลี่ยนแปลงภาพยนตร์ไปตลอดกาล ครึ่งศตวรรษผ่าน ผู้ให้กำเนิดหนังเรื่องนี้ จะมานั่งคุยถึงเรื่องราวที่เป็นไป ตั้งแต่หนังเรื่องนี้ยังไม่ได้เป็นตำนาน กับทีมงานของนิตยสารเอ็มไพร์ เทอร์รี ไวต์

ฟรานซิส ฟอร์ด ค็อปโพลา มีอารมณ์ความรู้สึกที่หลากหลายมากเกี่ยวกับ ‘The Godfather’ ขณะที่เขาให้สัมภาษณ์กับเอ็มไพร์ผ่านซูม ในวาระที่หนังครบรอบ 50 ปี ท่าทีของเขาเหมือนกำลังพูดถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน กับการย้อนรำลึกถึงอุปสรรค และการต่อสู้ รวมถึงการเกือบจะถูกไล่ออก เงาของความตึงเครียดกระโดดโลดเต้นอยู่บนใบหน้าของผู้ชายวัย 82 ปีเป็นระยะ ๆ หากก็สัมผัสได้ถึงความสดชื่น ราวกับเป็นประสบการณ์ครั้งแรกของเขา ที่หากไม่นับประสบการณ์แบบ ‘ฝันร้าย’ การเซ็นสัญญากำกับและเขียนบทในวัยแค่ 29 ปี ไม่ใช่แค่เป็นการสร้างหนึ่งในหนังแกงสเตอร์มหากาพย์ที่ดีที่สุดตลอดกาล แต่ยังเป็นหนึ่งในหนังอเมริกันที่เยี่ยมยอดที่สุดด้วยเช่นกัน

เรื่องราวของครอบครัวคอร์เลโอเน เป็นเรื่องของดอน คอร์เลโอเน (มาร์ลอน แบรนโด) หัวหน้าครอบครัว กับบรรดาลูกชาย ว่าด้วยมรดกตกทอด, การสานต่อ และความจงรักภักดี ค็อปโพลาจัดการนำแนวทางหนังที่ไม่ประสบความสำเร็จมานาน ที่ว่าด้วยความละโมบ และอาชญากรรม มาทำเป็นเรื่องครอบครัว ทั้งหนังเรื่องแรกและต่อจากนั้น หนังยังพึงพอใจกับการทำลายความเข้มแข็งของเพศชาย และอำนาจ ตลอดจนความรุนแรงที่ไร้ค่า หลัง ‘The Godfather’ ยึดบ็อกซ์ ออฟฟิศสำเร็จ มันกลายเป็นงานที่ไม่่เพียงสร้างแรงบันดาลใจให้คนทำหนังจำนวนนับไม่ถ้วน แต่ยังส่งผลกระทบทางวัฒนธรรม ซึ่งแรงสั่นสะเทือนมีมาถึงทุกวันนี้ เอาง่าย ๆ ไม่มี ‘The Godfather’ ไม่มี ‘Sopranos’ ตัวค็อปโพลาสานต่องานชิ้นนี้ด้วยการทำงานที่หลากหลาย มากมายหลายเรื่อง แต่ไม่มีเรื่องไหนเลยที่ให้นิยามตัวเขา นิยามสิ่งที่เขาทิ้งเอาไว้ ได้เช่นที่ ‘The Godfather’ เป็น

แม้จะยังไม่อยู่นิ่ง ๆ แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ เขาก็ยังรู้สึกดีกับชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปด้วยการตอบตกลงในท้ายที่สุด กับข้อเสนอที่พาราเมานต์ยื่นมาให้เมื่อกว่า 5 ศตวรรษก่อน ฟรานซิส ฟอร์ด ค็อปโพลา มีความรู้สึกที่หลากหลายมากมายจริง ๆ เมื่อพูดถึง ‘The Godfather’ หรือเราทุกคนจะแตกต่างไป?

@ 50 ปีแล้ว! คุณรู้สึกยังไงบ้าง?
“เอ่อ… ใช่ มันก็แปลก ๆ นะ การคิดว่า 50 ปีผ่านไปแล้วนับตั้งแต่การผจญภัย ‘The Godfather’ เริ่มต้น แล้วมันก็เปลี่ยนแปลงชีวิตผมไปมหาศาล เพราะตอนนี้ตระกูลค็อปโพลา ถูกมองว่าเป็นแบบเดียวกับในหนังโดยคนเยอะแยะมาก แต่… ตอนผมมาแอล.เอ. ไปเรียนที่สถาบันสอนภาพยนตร์ยูซีแอลเอ ผมฝันไว้แค่จะได้รับความสนใจจากสตูดิโอ ภาพยนตร์มันเป็นแดนสวรรค์ที่แปลกประหลาดจริง ๆ”

@ หนังเองก็เป็นเรื่องในครอบครัวค็อปโพลาด้วยนี่ โซเฟีย ลูกสาวคุณอยู่ในหนังตั้งแต่อายุแค่ 3 สัปดาห์, ลูกชาย และภรรยาคุณ ก็เล่นในฉากแบปทิสต์ แล้วยังมีน้องสาวคุณ ทาเลีย (ไชร์) อีกคน
“อือม… ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพวกแกงสเตอร์เลยนะ แต่ผมรู้จักครอบครัวผม สไตล์ของคนในตระกูลผม อะไรอย่าง… การทานมื้อค่ำ ทุกอย่างเป็นเรื่องเฉพาะตัว, อาหาร, การแสดงอารมณ์, เพลง ผมนำเอาสารพัดสิ่งที่เป็นประสบการณ์ของผมในครอบครัวคนอิตาลีมาใส่ในหนัง ‘The Godfather’ ในความรู้สึกหนึ่ง มันเป็นหนังครอบครัว ที่สร้างโดยครอบครัว”

@ ตอนนี้มันเลยกลายเป็นบันทึกชิ้นสำคัญสำหรับครอบครัวคุณใช่ไหม?
“ใช่ ไม่ต้องสงสัยเลย โซเฟียที่อายุ 50 ปีวันนี้ ก็คือทารกตัวจิ๋ว และเหตุผลเดียวที่ทำให้เธออยู่ในหนังก็คือ เพราะเธออยู่ที่นั่น และผมต้องการเด็กอ่อนคนหนึ่งมาเข้าฉาก หลาย ๆ คนในงานแต่งงานก็คือญาติ ๆ หรือคนที่มาร้องเพลงในงานของครอบครัวในแต่ละโอกาส พวกนี้ทำให้หนังมีสัมผัสขององค์ประกอบบางอย่างที่ทำให้มีความโดดเด่นออกมา”

@ หนแรกตอนพาราเมานต์เรียกคุณไปกำกับ ‘The Godfather’ คุณไม่ตกลง นั่นเป็นเพราะคุณกังวลเกี่ยวกับเรื่องที่มันนำเสนอวัฒนธรรมของคนอิตาเลียน-อเมริกันใช่ไหม?
“ไม่เลย ความปรารถนาของผมก็คือ เป็นคนทำงานที่เขียนบทและกำกับโปรเจ็กต์ที่มีความเป็นส่วนตัวมากกว่านั้น ‘The Godfather’ เป็นหนังสือที่ประสบความสำเร็จมาก ผมคิดว่ามันเป็นงานที่ซีเรียส ซึ่งว่าด้วยเรื่องของอำนาจ และผมก็สนใจมันนะ แต่พอได้อ่าน มันเป็นงานที่ดูลวก ๆ มีความงี่เง่า มันเป็นเรื่องของผู้หญิงที่มีปัญหาทางเพศ ต่อมาพอผมมองมันใหม่ ผมก็เห็นสารพัดสิ่งที่อยู่ภายใต้อะไรก็ตามที่ถูกออกแบบมาเพื่อทำให้มันกลายเป็นหนังสือขายดี มันคือเรื่องของราชาที่มีลูกชายสามคน มันเป็นเรื่องว่า ใครที่จะขึ้นมากุมอำนาจ มันเหมือน ๆ กับบทละครของเช็กสเพียร์”

@ คุณมีบริษัทอเมริกัน ซูโทรป บริษัทสร้างหนังอิสระของคุณ ที่ต้องการการสนับสนุนทางการเงิน มีครอบครัวด้วย ตอนคุณตอบรับ สิ่งเหล่านั้นมีส่วนกับการตัดสินใจไหม?
“เราถังแตกนะ เรากำลังจะไม่รอดแล้วล่ะ เราทำหนังไปสัก 2-3 เรื่อง วอร์เนอร์ บราเธอร์ส ผู้สนับสนุนของเราไม่ชอบหนัง และไม่อยากไปต่อกับหนังพวกนั้น เราอยู่ในสภาวะสุ่มเสี่ยงทางการเงิน ผมต้องการงาน และผมกำลังจะมีลูกคนใหม่ เพราะฉะนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่า เราอยู่ภายใต้ความกดดันทางการเงิน”

@ คุณสงสัยไหมว่า ทำไมพวกเขาถึงเสนอหนังให้คุณกำกับ?
“ผมคิดว่า พวกเขาคงคิดว่า ไอ้นี่มันเป็นเด็กหนุ่ม และไม่มีอำนาจอะไร เพราะงั้นเราสามารถกดดันให้มันทำอะไรที่เราต้องการได้สบาย ๆ สอง – ผมเป็นคนเขียนบทฝีมือดีใช้ได้ หรือพวกเขาอาจจะคิดว่าผมเป็นอย่างนั้น และบทที่พวกเขามี ไม่ได้อยู่ในทรงที่ดีเลย แล้วไอ้หนุ่มนี่เป็นอิตาเลียน-อเมริกัน ถ้ามีปฏิกริยาสะท้อนกลับเกี่ยวกับหนัง ในทางที่เป็นการเหยียดหยามจากการนำเสนอว่าคนพวกนี้เป็นแกงสเตอร์ พวกเขาคิดว่าผมน่าจะเป็นคนรับเละ เพราะผมเป็นอิตาเลียน เห็นไหมผมเหมาะกับงานนี้ตั้งสามข้อแน่ะ”

@ คุณรู้ไหมว่า มีผู้กำกับคนอื่นที่บอกผ่าน ก็เพราะเหตุผลทำนองนั้น?
“อือม… ผมได้ยินนะ แต่หนังสือมันกลายเป็นงานที่ได้รับคำชื่นชมมากขึ้น มากขึ้น และเพราะอะไร ทำไมคนที่โคตรไม่สำคัญเลยอย่างผมถึงได้งานนี้ เมื่อมีคนทำหนังเก่ง ๆ อีกตั้งเยอะ? ความจริงก็คือ มันเคยมีหนังในแบบมาเฟีย เรื่อง ‘The Brotherhood’ (หนังพาราเมานต์ปี 1968 ที่เคิร์ก ดักลาสเล่น) และไม่ประสบความสำเร็จเอาซะเลย ความคิดที่จะทำหนังแกงสเตอร์อีกสักเรื่อง เป็นความคิดที่ดี หากสามารถทำได้ด้วยเงินสัก 2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หนึ่งในเรื่องแรก ๆ ที่ทำให้ผมเจอกับปัญหา ก็คือผมอยากให้เหตุการณ์ในหนังเป็นยุค ‘40s เหมือนในหนังสือ และถ่ายทำในนิวยอร์ก อย่างที่เรื่องเป็น ซึ่งทำให้ยากที่จะทำหนังเรื่องนี้ได้ด้วยงบ 2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทันใดนั้นก็มีข่าวลือว่า ผมโดนไล่ออก ตอนทำ ‘The Godfather’ ทุกอาทิตย์จะมีข่าวลือที่เป็นเหตุผลใหม่ ๆ ว่าเพราะอะไรพวกเขาถึงจะไล่ผมออก”

@ มีคนพูดว่า มีฉากหนึ่งในหนังที่ทำให้คุณรอด เพราะสตูดิโอเห็น แล้วก็ชอบมันมาก ฉากในภัตตาคาร
“ทั้งใช่และไม่ใช่… ผมหมายความว่า สิ่งที่ทำให้ผมรอดมันเป็นเรื่องต่างกรรมต่างวาระ ผมจำได้ตอนที่กำลังนั่งดูงานออสการ์กับเพื่อนผม – มาร์ตี สกอร์เซซี แล้วพอผมได้รางวัลเขียนบทจาก ‘Patton’ มาร์ตีบอกกับผมว่า ‘เออ… ตอนนี้ผมขอเดาว่า พวกเขาไม่สามารถไล่นายออกได้ในทันทีแล้วล่ะ เพราะนายได้ออสการ์เขียนบท” นั่นคือสิ่งที่ทำให้ผมได้อยู่ต่อ และในแต่ละสัปดาห์ก็จะมีอะไรมาช่วยผมไว้เสมอ จริงที่ฉากภัตตาคารทำให้ผมได้ไปต่อ แต่หลังจากนั้นมันก็ยังคงมีข่าวลือว่าผมจะโดนตะเพิดอยู่เรื่อย ๆ หลังมาร์ลอน (แบรนโด) มาทำงานวันแรก ข่าวลือที่ดังสนั่นก็คือ ผมจะโดนไล่ออกในสัปดาห์นั้นแหละ เพราะพวกคนที่ดูแลหนังได้ดูหนังแล้ว และรู้สึกว่าฉากนี้มันมืดเกินเหตุ คุณแทบจะมองไม่เห็นเขา แล้วเขาก็พูดพึมพำ ๆ ตอนที่ผมบอกว่า “ไม่ คุณทำแบบนี้ไม่ได้” จากนั้นก็มีคนพูดขึ้นว่า “เหตุผลที่พวกเขาไม่ต้องการให้คุณทำหนังเรื่องนี้ เป็นเพราะว่าในสุดสัปดาห์นี้ พวกเขากำลังจะได้ตัวผู้กำกับใหม่มารับงาน’ ผมจัดการไล่ทุกคนที่อยู่ในทีมของผม ซึ่งเล่นตุกติกเพื่อเอาผมออก ผมไปที่กองแล้วถ่ายฉากนั้นเป็นครั้งที่สอง ผมปกป้องตัวเองสำเร็จด้วยวิธีง่าย ๆ ไล่ทุกคนที่ทำงานเพื่อให้ผมถูกไล่ออก มันเป็นอะไรแบบนั้นแหละ มันเป็นการทำงานแบบจัดการแล้วไปต่อ มีความเข้าใจว่า ผมพอมีอำนาจอยู่บ้าง แต่จริง ๆ แล้ว ผมไม่มีเลย”

@ ฟังดูเหมือนเป็นฝันร้ายเลยนะ
“มันเป็นประสบการณ์ที่เลวร้ายมาก ‘Apocalypse Now’ เป็นประสบการณ์ที่สมบุกสมบันด้วยเหตุผลอื่น แต่โดยปกติแล้วหนังพวกนั้น ซึ่งผมรู้จักอย่างดี มันคือการทำงานที่เป็นฝันร้าย การที่ผมเป็นแค่เด็กหนุ่ม หัวรั้น แล้วก็ไม่ยอมแพ้ คือสาเหตุที่ทำให้หนังมันเสร็จ ผมหมายความว่า เวลาคุณคิดถึงสารพัดปัญหาที่เรามี อีก 50 ปีต่อมามันเป็นเรื่องที่มีความสุข กับการได้พูดถึง เอาล่ะ ‘The Godfather’ เป็นความสำเร็จที่แสนมหัศจรรย์ แต่มันคือประสบการณ์ที่ย่ำแย่ มันเป็นความสยดสยอง มันคือฝันร้าย”

@ คุณเคยพูดไว้ก่อนแล้วว่า ความทรงจำที่มีต่อ ‘The Godfather’ ทำให้คุณโคตรไม่มีความสุข แล้วเมื่อเวลาผ่านมา 50 ปี อะไรแบบนั้นมันเบาบางลงบ้างไหม?​
“แน่นอนว่า มันทุเลาลงไปเยอะ มีคนมากมายที่มีทฤษฎีว่า คุณจะทำงานออกมาได้ดีที่สุดก็ตอนที่ตกอยู่ภายใต้ความตึงเครียด แต่ผมไม่คิดแบบนั้น ใน ‘The Godfather Part II’ ผมมีอำนาจมากขึ้น และหนังมันก็ใหญ่ขึ้น ซับซ้อนมากขึ้น แล้วเป็นหนังที่ยากจะทำสำเร็จ แต่ไม่มีใครมาไล่ผม เพราะตอนนั้นผมมีอำนาจแล้วไง ผมคือเจ้านาย นั่นคือหนึ่งในการทำงานที่ราบรื่นที่สุดเท่าที่ผมเคยทำมา”

@ อำนาจนั้นมันมีจริงเหรอ? เพราะว่าคุณจะได้มันมาตราบเท่าที่งานของคุณประสบความสำเร็จ
“เออ… มีคนฉลาด ๆ คนหนึ่งบอกไว้ตอนที่ผมยังเด็ก และทำละครในวิทยาลัย ‘เมื่อคุณเป็นผู้กำกับ… ท้ายที่สุดเมื่อการแสดงจบลง ถ้ามันฮิตและประสบความสำเร็จ พวกเขาจะบอกว่า การทำงานกับคุณสุดแสนวิเศษยังไง แต่ถ้ามันคว่ำ ไม่สำคัญเลยว่าความจริงเป็นแบบไหน พวกเขาจะบอกว่าการทำงานกับคุณมันน่ากลัวขนาดไหน’ ซึ่งนั่นคือความจริงเพียงเล็กน้อย ในตอนนี้ความทรงจำที่มีต่อ ‘The Godfather’ ทุกคนที่ออกมาจากโรงถ่าย พากันพูดว่า ‘เออ… ฉันทำตรงนั้น และฉันทำตรงนี้’ พวกเขาทำรายการโทรทัศน์เกี่ยวกับการสร้าง ‘The Godfather’ (เรื่อง ‘The Offer’) จากมุมมองของหนึ่งในทีมผู้อำนวยการสร้าง ซึ่งไม่เคยอยู่แถวนั้นเลย เขามักจะได้ถกเถียงกับพวกมาเฟียอยู่เรื่อย เพราะฉะนั้นทุกคนล้วนสนุกกับความสำเร็จของหนังในอีก 50 ปีต่อมา ซึ่งมันก็ดี เรามีพวกมากพรสวรรค์หลายคนตอนทำ ‘The Godfather’ ไม่ได้มีแค่ผมกับมาริโอ (พูโซ เจ้าของบทประพันธ์ และผู้ร่วมเขียนบท)

@ อะไรคือความท้าทายอย่างที่สุดกับสตูดิโอ? คุณต้องสู้เพื่อแบรนโด ทั้งปาชิโนเลยนี่
“อือม… พวกเขาไม่ชอบความคิดที่จะถ่ายทำกันในนิวยอร์ก เพราะเรื่องของงบ พวกเขาไม่ชอบนักแสดง พวกเขาไม่อยากได้อัล ปาชิโน พวกเขาไม่อยากได้มาร์ลอน แบรนโด หัวหน้าทีมผู้อำนวยการสร้าง เป็นพวกพูดจาน้ำไหลไฟดับ เขาพูดติดสำเนียงเวียนนา ‘เราทดสอบนักแสดงชายในฮอลลีวูดทุกคนแล้ว พวกเขาแย่มาก มันเป็นไปได้ยังไง ที่พวกเขาไม่เอาอ่าวเลยสักคน? นักแสดงชายไม่แย่หรอก คนที่แย่คือผู้กำกับ’”

@ แต่คุณรู้ได้ยังไงว่ามันต้องเป็นแบรนโด? เขาอายุ 40 กว่าเองนะตอนนั้น หนุ่มกว่าดอน คอร์เลโอเนตั้งเยอะ
“พวกเรารู้ว่าเขามีรังสีบางอย่าง และเพราะทุกคนต้องอยู่รายรอบก็อดฟาเธอร์ ลูก ๆ ชื่นชมเขา เขามีอำนาจกับพวกผู้นำมาเฟีย เราเลยต้องพยายามและมันก็ไม่ง่ายเลย คุณหาพวกหน้าใหม่ ๆ มาเล่นเป็นคนแก่อายุ 65 ไม่เจอหรอก แต่ผมมีความคิดที่ว่า เราอยากได้หนึ่งในนักแสดงชายที่เจ๋งที่สุดในโลก ใครคือสองนักแสดงชายที่เก่งที่สุดในโลกล่ะ? หนึ่งคือ ลอว์เรนซ์ โอลิเวียร์ และอีกคนก็คือ มาร์ลอน แบรนโด ลอว์เรนซ์ โอลิเวียร์ มีอายุที่ใช่ และภาพลักษณ์ก็ดูเหมือนหัวหน้ามาเฟีย แต่เขาเป็นคนอังกฤษ อีกคนคือมาร์ลอน แบรนโด ที่ไม่ได้แก่ขนาดนั้น เขาแค่ 47 แล้วเขาก็ไม่ใช่อิตาเลียน แต่ลอว์เรนซ์ ​โอลิเวียร์ ปฏิเสธเรา เขาไม่โอเค ดังนั้นเลยเหลือแค่มาร์ลอน แบรนโด ซึ่ง… ใช่ผมสนใจเขา ผมคิดว่าเขาน่าจะทำอะไรก็ได้ แต่ผมโดนบอกว่าอย่าไปเลือกเขา เพราะเขาไม่ใช่นักแสดงทำเงิน หนังเรื่องสุดท้ายของเขาคว่ำสนิท และเขาก็เป็นพวกชอบสร้างปัญหา อย่างไรก็ตาม ผมยืนกราน และไปต่อ แล้วจัดการให้มีการทดสอบเล็ก ๆ สำหรับเขา ผมไม่ได้บอกว่าเป็นการทดสอบบทกับเขานะ ผมบอกแค่ ‘เรามาด้นสดกัน’ และผมก็ทึ่งไปกับความสามารถ และความเฉลียวฉลาดของเขา กระทั่งมาถึงวันนี้ ผมคิดว่า มาร์ลอน แบรนโดคือหนึ่งในคนที่เจ๋งที่สุดเท่าที่ผมเคยพบมา นอกจากการแสดง สิ่งต่าง ๆ ที่เขาพูดถึง ชีวิตเอย ความเป็นมนุษย์เอย ไม่ว่าจะในระดับไหนผมสามารถเอาสิ่งที่เขาแสดงออกมาไปอวดชาร์ลี บลูห์ดอร์น ผู้ชายคนเดียวกับคนที่พูดสำเนียงเวียนนานั่นได้เลย ครั้งแรกที่เขาเห็นว่าเป็นแบรนโดในวิดีโอ เขาเอ่ย… ‘ไม่ ไม่’ แล้วพอได้ดู ‘นั่นมันเหลือเชื่อสุด ๆ’ มันคือบลูห์ดอร์น ที่สัมผัสถึงความเป็นอัจฉริยะในวิดีโอสั้น ๆ แล้วก็… แน่นอน ทุกคน ผมต้องบอกว่า แบรนโดคือความมหัศจรรย์ที่ได้ทำงานด้วย เขาเป็นคนประเภทที่คุณไม่ต้องคุยเรื่องการแสดงด้วยเลย ผมเคยพูดกับเขาเรื่องอุปกรณ์ประกอบฉาก ถ้าผมเอาของไปวางใกล้ ๆ เขา เขาจะใช้มัน เขาเป็นคนที่เอาใจใส่มาก กระทั่งความคิดเรื่องเปลือกส้ม ในฉากสำคัญ ซึ่งผมไม่รู้เลยว่าเขากำลังจะทำอะไร

@ ในฐานะคนทำหนังในวัยขนาดนั้น สถานภาพแบบนั้น เหลือเชื่อไหมที่ได้ทำงานกับนักแสดงระดับนั้น
“ผมสนิทกับนักแสดงนะ อัล ปาชิโน, จอห์น คาเซล, โรเบิร์ต ดูวัลล์, เจมส์ คานน์ กระทั่งไดแอน คีทัน ที่ไม่เคยเข้าใจเลยว่า ผมเลือกเธอเพราะอะไร ผมเลือกเธอ เพราะเธอมีบางอย่าง มันเป็นบททื่อ ๆ ตรง ๆ มาก น่าเบื่อด้วยซ้ำตอนเขียน แต่ผมรู้สึกว่าไดแอน คีทันมีอะไรที่จะสร้างความมหัศจรรย์ให้กับตัวละครตัวนี้แน่ ๆ ซึ่งแน่นอนว่า คุณได้รู้ว่าเธอมีอะไรแบบนั้นในตัวก็ ในหนังเรื่องต่อ ๆ มาที่เธอเบ่งบานเต็มที่ แต่ผมสนิทสนมกันดีกับนักแสดงนะ พวกเขาอยู่ข้างหลังผม พวกทีมงานชอบคิดว่าผมเพี้ยน ‘พวกเขาไปหาอีตานี่เจอจากที่ไหนวะ? เขาไม่รู้อะไรเลยในเรื่องการกำกับ’”

@ นั่นก็เพราะอายุของคุณ คุณคิดแบบนั้นไหม?
“ไม่ เป็นเพราะว่าพวกทีมงานเป็นพวกบ้าพลัง ถ้าคุณเขวี้ยงลูกบอลได้ไกลมากขึ้น พวกเขาจะชื่นชมคุณ แต่ถ้าคุณเป็นพวกศิลปิน พวกเขาจะมองว่าคุณเป็นพวกเพี้ยน ๆ และเนื่องจากผมเป็นมิตรกับพวกนักแสดงมากกว่า และไม่ค่อยสนิทกับทีมเทคนิคทั้งหลาย… ซึ่งในยุคนั้นก็คือพวกทีมงาน ถ้าคนจัดแสงเห็นว่ามีบางอย่างกำลังผ่านมาทางหน้าต่าง พวกเขาจะใช้เวลาชั่วโมงครึ่งเพื่อจัดการมันให้ถูกต้อง แต่ถ้านักแสดงต้องการเวลาสัก 10 นาที เพื่ออยู่เพียงลำพัง จะได้ทำอารมณ์ พวกนั้นจะเล่นตลกกับเขา แล้วอะไรที่สำคัญมากกว่ากัน? นักแสดงหรือแสง?​ นักแสดงใช่ไหมล่ะ แต่อย่าพูดแบบนั้นกับพวกทีมงาน ‘ไอ้เด็กนี่มันใคร? เขารู้อะไรบ้างวะ? เขาไม่รู้อะไรเลย’”

@ อะไรบ้างที่ทางสตูดิโอคาดหวัง ให้มันดัง, คำวิจารณ์ แล้วก็รายได้ คุณพอจะจำได้ไหมว่า ช่วงเวลาตอนไหนที่คุณรู้สึกว่ามันน่าจะประสบความสำเร็จ?
“ช่วงแรก ๆ มีอยู่คนหนึ่ง ตอนที่ผมเอาหนังให้ดู แล้วก็ขอคำแนะนำจากเขา ขณะที่ทุกคนดูนิ่ง ๆ กับหนัง ไม่มีใครรู้สึกประทับใจ มีมือเขียนบทที่ชื่อ บ็อบ (ทาวน์) ซึ่งผมมองไปถึงเขา เขาคือคนแรกที่บอกผมว่า ‘ฟรานซิส หนังเยี่ยมมาก มาร์ลอน แบรนโดก็เยี่ยม’ ผมมักได้ยินมากว่า หนังที่ยาวเกินไปจะน่าเบื่อ ดังนั้นนี่คือครั้งแรกที่ผมได้ยินแล้วรู้สึกถึงความหวังเล็ก ๆ แต่ก็ยังคงต้องคอยจนมันออกฉาย ผมกังวลมาก ๆ ผมไม่มีเงินเลย ผมมีลูกสามคนแล้วและไม่มีตังค์สักแดงเดียว ผมได้รับข้อเสนอให้แก้บท ‘The Great Gatsby’ แบบด่วน ๆ ซึ่งผมต้องรับทำ เลยไม่ได้อยู่ในช่วง ‘The Godfather’ เปิดตัว ผมพูดกับภรรยาที่อยู่ในนิวยอร์ก เธอบอก ‘ฟรานซิส คนต่อแถวยาวเป็นบล็อกเลย ทุกคนบอกว่า ‘The Godfather’ คืองานที่ดีสุดเท่าที่เคยมีมา’ ผมบอกเธอ ‘เอ่อ… เยี่ยมเลยนะ แต่ผมต้องคิดให้ออกว่า จะเขียนบทหนังเรื่องนี้ยังไง ผมต้องไปจัดการต่อละ’ หนึ่งเดียวที่เป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่ผมมี หนัง ‘The Godfather’ เรื่องแรก ที่คนต่อแถวยาวเป็นบล็อก แต่ผมไม่ได้สนุกกับทุกอย่างที่เกิดขึ้นเลย เพราะต้องมากังวลว่าจะจัดการบทหนังเรื่องนี้ให้เสร็จ”

@ ‘The Godfather’ เปลี่ยนชีวิตของคุณยังไง?
“อือม… ผมมาจากไม่มีเงินสักเหรียญ และมีครอบครัวที่ต้องดูแล ไปเป็นมีเงินเป็นหลาย ๆ ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเป็นเรื่องน่าตะลึงมาก ไม่มีใครในครอบครัวผมที่เคยมีเงินขนาดนั้น ผมมาจากการเป็นคนที่ไม่มีใครรู้จักและไม่มีเงิน ที่ต้องมีความรับผิดชอบมากมายต่อครอบครัว ผมแต่งงานตั้งแต่อายุยังน้อย รักลูก ๆ รักครอบครัว กลายเป็นคนที่มีเงิน มีคนชื่นชม เป็นคนดัง ทุกคนรู้จัก ‘The Godfather’ และรู้จักผม และเดี๋ยวนี้ พอใคร ๆ ได้ยินชื่อ ค็อปโพลา พวกเขาจะคิดว่า ‘นั่นคือครอบครัวผู้ยิ่งใหญ่’ ตอนโซเฟียเริ่มกำกับหนัง พวกเขาบอกว่า ‘โอ… หล่อนมีข้อได้เปรียบจากการรู้จักคนสำคัญ ๆ ในวงการ’ แต่แรกเริ่มเดิมทีเลยนะ ผมไม่รู้จักใครเลย ผมแค่มาฮอลลีวูดในฐานะนักศึกษาผู้ยากจน ผมไปโดยที่ไม่มีอะไรเลย เหตุผลที่ผมน้ำหนักตัวเยอะมาก ตั้งแต่อายุยังน้อย ๆ ก็เพราะ ผมกินมักกะโรนียี่ห้อคราฟต์กับชีสเป็นมื้อค่ำ ซึ่งราคาของมันตอนนั้นแค่ 19 เซ็นต์เอง ผมไม่สามารถผลักดันตัวเองให้มีแฟน แล้วพาเธอไปดูหนังได้ ทันใดนั้น ผมก็ดัง วิธีที่ผมมองมัน… ผมอยากเป็นคนหนึ่งในกลุ่ม ตอนแรกผมเป็นคนนอก แล้วก็ไม่ถูกจับเข้ากลุ่ม อาจเพราะเป็นเด็กใหม่หรือเพราะจน จากนั้นก็มีชื่อเสียง ประสบความสำเร็จ แต่ก็ยังไม่ได้เป็นคนหนึ่งในกลุ่ม ในใจของผมนะ ทุกอย่างที่ต้องการก็คือ ถูกมองว่าเป็นคนหนึ่งในกลุ่ม ซึ่งตอนนี้ผมได้อยู่แล้ว เพราะเมื่อคุณพูดถึงผู้กำกับใหญ่ ๆ ในยุค ‘70s พวกเขาจะพูดถึง จอร์จ ลูคัส และฟรานซิส ฟอร์ด ค็อปโพลา, มาร์ตี สกอร์เซซี แล้วก็สตีเวน สปีลเบิร์ก และไบรอัน เดอ พัลมา กับพอล ชเรเดอร์ ดังนั้นผมมีในสิ่งที่ผมต้องการละ ผมเป็นหนึ่งในกลุ่มแล้ว”

@ สุดท้ายละ คุณคิดว่า ‘The Godfather’ จะเล่นบทไหนในฐานะมรดกตกทอดของคนทำหนัง?
“ผมได้ยินมาว่า ‘The Godfather’ ถูกอ้างว่าเป็นหนึ่งในหนังที่เยี่ยมยอดที่สุดที่เคยมีการสร้างกันมา เมื่อคุณเปรียบเทียบผมกับพวกศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ในโลกภาพยนตร์ อย่างจี.ดับเบิลยู. แพ็บสต์ และฟริตซ์ ลัง แล้วก็ เมอร์นาว ผู้ยิ่งใหญ่, ฮิตช์ค็อก จากนั้นก็มีพวกผู้กำกับอิตาเลียน และญี่ปุ่นชั้นเยี่ยม เมื่อมองดูบรรดาฮีโรในวงการภาพยนตร์ ผมต้องบอกว่า ผมควรถูกมองในระดับผู้กำกับแถวสอง แต่ผมเป็นผู้กำกับชั้นหนึ่งของผู้กำกับแถวสองนะ นั่นคือสิ่งที่ผมจะบอกกับคุณ

เป็นกำลังใจให้เราได้ ด้วยการสนับสนุนทางการเงินที่บัญชีธนาคารกสิกรไทย หมายเลข 100-2-10283-4 แล้วส่งสลิปการโอนมาที่ shopsadaos@gmail.com เพื่อรับของขวัญแทนคำขอบคุณให้ผู้สนับสนุนที่โชคดีเป็นประจำทุกเดือน

ติดตามอ่านเรื่องราว ข่าวสาร ชมตัวอย่าง ชมคลิป ชม MV อ่านวิจารณ์หนังและเพลง ได้ด้วยการกดไลค์เพจสะเด่าส์ ได้ที่นี่

What is your reaction?

Excited
0
Happy
1
In Love
0
Not Sure
0
Silly
0
Sadaos
พบข่าวสารจากวงการหนัง-เพลง ภาพสวยของดาราสาว, วิจารณ์-แนะนำ งานเพลง, ภาพยนตร์ และรับสั่งซื้อ CD/ DVD ทั้งในและต่างประเทศ. Sadaos Is entertainment news page and online shop for people who love movie and music. We sell many entertainment items like used and new DVD, CD, postcards, accessory, souvenirs.

You may also like

More in:FEATURES

Comments are closed.