สุดยอดภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโรแห่งศตวรรษกับการรวมพลครั้งใหญ่ของมาร์เวล AVENGERS: INFINITY WAR (จบ)

(อ่านตอนแรกที่นี่ > http://bit.ly/2vZNxFK) ฉากที่สองเป็นการถ่ายทำที่แอทแลนตา ที่บรรดาตัวละครชุดใหม่จะต้องขับเคลื่อนฉากกระจกสะท้อน ในฉากนี้จะมีโทนี สตาร์ค, ดร. สเตรนจ์ (คัมเบอร์แบทช์) กับสหายคู่ใจ หว่อง (หว่อง) และบรูซ แบนเนอร์ (รัฟฟาโล) ที่กลับมายังโลกพร้อมคำเตือนถึงสิ่งร้ายแรงที่จะเกิดขึ้น แต่สายเกินไป

เพราะสองภาคีทมิฬ คัลล์ ออบซิเดียน และเอโบนี มอว์ จอดยานอวกาศลำมหึมาเหนือท้องฟ้านิว ยอร์ค ทำให้เกิดความเสียหายและการทำลายล้างครั้งใหญ่บนถนนแม็คดูกัล “โดยปกติแล้ว เราก็คงฉีกทึ้งยางมะตอยอย่างที่อยากทำ” ดาวนีย์ จูเนียร์พูดพร้อมกับเสียงหัวเราะ แล้วก็ขึ้นอยู่กับทั้งคู่ว่าจะหยุดทำเมื่อไหร่ หรืออย่างน้อยๆ ก็อาจจะขอร้องกันดีๆ ก็น่าจะได้ “นายจอดที่นี่ไม่ได้นะเพื่อน วันนี้โลกปิดแล้ว” สตาร์คพูดออกมาในเทคหนึ่ง ซึ่งบทพูดของดาวนีย์ จูเนียร์จะไหลไปเรื่อยๆ “เปิดไฟรถแทรคเตอร์นายไว้ แล้วหนีๆ ไปซะ”

แต่คูลล์ (รับบทโดยหนึ่งในนักแสดงโม-แค็ปตัวท็อป เทอร์รี โนทารี) ไม่อยู่ในโหมดหนีใคร แถมยังก่อให้เกิดความโกลาหลระดับวายป่วง สตาร์คต้องพยายามหาทางทำให้แบนเนอร์ ซึ่งกำลังว้าวุ่นใจเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์จอมพลังตัวสีเขียว “อย่าให้ผมต้องทำอะไรน่าอาย ต่อหน้าพ่อมดเลย” แบนเนอร์บอก ไม่ช้าไม่นานความจริงก็กระจ่างชัดว่า พ่อมดคือเป้าหมายสำคัญในการโจมตีครั้งนี้ “พวกมันต้องการผม โดยเฉพาะสิ่งที่คล้องอยู่ที่คอผม” คัมเบอร์แบทช์พูดถึงดวงตาแห่งอกาม็อตโต หรือหินกาลเวลา ที่แกว่งไปมาที่หน้าอกของเขา “เพราะงั้น เลยเกิดการต่อสู้ตามมาอย่างรวดเร็ว ซึ่งมันทั้งสนุก ทั้งงี่เง่า ที่เหตุการณ์มันขยับจาก อันตรายที่จะเกิดในโลกจริง ไปสู่ในโลกเสมือนจริง แล้วจากนั้นก็เป็นในโลกที่ไม่จริง มันน่าตื่นเต้นมากๆ”

สองฉาก, สองเมือง, สองประเทศ และถ้าเรานับจำนวนตัวละคร 9 อเวนเจอร์ 4 เอเลียน ถึงที่สุดเราก็ได้เห็นตัวละครส่วนใหญ่ในหนังที่เราดูมาเกือบทั้งชีวิตแล้วล่ะ แต่ขอโทษนี่ก็แค่ก้อนเล็กๆ บนยอดภูเขาน้ำแข็งแค่นั้น เพราะยังมีตัวละครอีกหนึ่งราย ที่หายไปจากฉากเหล่านี้ และเป็นตัวละครที่เป็นหัวใจของทุกๆ อย่าง ยักษ์ใหญ่ผู้บ้าคลั่ง (The Mad Titan) หรือบุรุษที่เปรียบได้กับอัญมณีอิฟินิตี สโตนในตัวเอง ธานอส

มาร์เวลมีปัญหากับธานอส เมื่อหัวหน้าของตัวร้ายรายนี้มีชื่อที่ไม่ค่อยให้ความรู้สึกว่าเป็นตัวร้ายสักเท่าไหร่ นับตั้งแต่เปิดตัวให้ได้เห็นกันเป็นครั้งแรกในฉากหลังเอนด์-เครดิทของ Avengers Assemble เมื่อปี 2012 เขาก็ถูกวางตำแหน่งให้เป็นตัวร้ายของจักรวาลมาร์เวลในทันที ขณะที่ในความเป็นจริงเขาเป็นตัวละครที่ยากจะปรากฏตัวให้เห็น แล้วก็ดูขี้กลัวพอๆ กับตัวสแตน ลีเวลาแว่บมาปรากฏบนจอ อย่างไรก็ตามพี่น้องรุสโซรู้ดีว่า มันถึงเวลาที่ธานอสจะต้องปรากฏตัว หรือออกมาจากห้องน้ำอวกาศได้แล้ว “คนดูไม่ได้รู้สึกมีปัญหากับธานอสอีกต่อไปแล้ว” แอนโธนี รุสโซ กล่าว

คำตอบสำหรับหนัง ของพวกเขาก็คือ สร้าง Infinity Wars ขึ้นมาโดยมีธานอสเป็นศูนย์กลาง “กับหนังใหญ่ๆ แบบนี้ คุณต้องผูกมันเข้ากับมุมมองทางความคิดสักอย่าง” โจ รุสโซ เสริม “และสำหรับหนังเรื่องนี้ก็คือ ธานอส ซึ่งทำให้มันกลายเป็นหนังที่มีความเฉพาะตัว เราอยากให้คนดูเดินออกไปจากโรงแล้วคุยกันว่า ‘นั่นล่ะไอ้ตัวร้าย’” ที่สำคัญที่สุดทั้งสองพี่น้องกับผู้เขียนบท มาร์คัสและแม็คฟีลี วางธานอสในฐานะเครื่องจักรที่ขับเคลื่อนพล็อท ด้วยการตามหาหินอินฟินิตี ทำให้เขาสามารถมีปฏิกริยาโต้ตอบกับทุกตัวละครหลักๆ อย่างเป็นรูปธรรมขึ้นมาได้

“คุณเรียกหนังเรื่องนี้ว่า Avengers: Thanos ได้นะ ถ้าอยากจะเรียก” สตีเฟน แม็คฟีลี บอก “เขาคือตัวละครหลักของหนัง”

ยิ่งไปกว่านั้น ธานอสยังเป็นตัวละครที่ทรงพลังมากๆ ที่เหล่าอเวนเจอร์สต้องเผชิญ เขาเริ่มต้นด้วยการมีพลังไร้เทียมทานประมาณหนึ่ง แล้วเมื่อได้ครอบครองหินในแต่ละครั้ง พลังก็เพิ่มมากขึ้น จากฟุตเตจที่เห็นในงานคอมิค-คอนเมื่อปีที่ผ่านมา แสดงให้เห็นภาพของธานอสฉวยดวงจันทร์ดวงเล็กๆ มาจากฟ้า แล้วขว้างไปยังเหล่าผู้คุกคาม “เขาเป็นตัวละครที่ยากจะเอาชนะมากขึ้นเรื่อยๆ” โจ บอก “เขาแข็งแกร่งกว่ามนุษย์จอมพลัง เป็นยิ่งกว่าเจงกิส ข่าน เขามีพลังตามธรรมชาติ มีความรอบรู้ทางจิตวิญญาณ ที่เหนือกว่าตัวละครอื่นๆ ทุกตัว เขาคือผู้พิชิตโลกใบนี้ ไม่มีจุดอ่อน ซึ่งทำให้เขาเป็นภัยคุกคามร้ายแรงมากๆ” แล้วอเวนเจอร์สจะมีชัยเหนือเขาได้อย่างไร? พอจะมีใครกล้าติดแท็ก ไม่เอาธานอสตามโซเชียลมีเดียหรือเปล่า? ทั้งสองพี่น้องไม่บอก แต่เรื่องแบบนี้มันมีวิธี “คุณต้องหาความเปราะบางอย่างที่สุดสำหรับตัวละครที่มีความแข็งแกร่งระดับนี้” แอนโธนี รุสโซ เสริม “มองไปที่อารมณ์ความรู้สึกของพวกเขา ตัวตนที่เป็นชีวิตจริงๆ ของพวกเขา นั่นละคือสิ่งที่เราคิดถึงวิธีทำให้ตัวละครแตกสลายออกมา” บางทีเขาอาจจะเป็นคนอ่อนไหวกับสิ่งที่คัมเบอร์แบทช์บอกว่าเป็น “รอยแตกที่ลากยาวจากริมฝีปากล่างมาถึงปลายคางแหลมๆ”

โบรลินผู้ชายที่มีใบหน้าในแบบที่ควรจะเป็น สร้างความประทับใจให้กับเพื่อนๆ นักแสดงได้มหาศาล “จอห์นน่าทึ่งมาก” ทอม ฮอลแลนด์ กล่าว “เขาต้องใส่ชุดโม-แค็ปติ๊งต๊องนั่น แล้วก็สวมไหล่โฟมที่กลิ้งไปมา แถมยังมีลูกเทนนิสอยู่เหนือหัวขึ้นไปอีก 2 ฟุต มันทำให้เขาดูตลก แต่ทันทีที่กล้องเดิน เขาจะกลายเป็นเอเลียนเจ้าของความสูง 9 ฟุตที่น่าพรั่นพรึงขึ้นมาทันที”

ดาวนีย์ จูเนียร์ ที่เคยขับเคลื่อนหนังมาร์เวล ก็แฮปปีกับเวลาบนจอของธานอส “ผมชอบเขา” ดาวนีย์ จูเนียร์ กล่าว เขาสร้างความพอใจให้กับคนที่เขารู้จักมานานเกือบๆ 30 ปี “โบรลินไม่ทำให้ตัวเองซีเรียส แล้ววิธีที่เขาถ่ายทอดตัวละครรายนี้ออกมา มันมีการคิดวิเคราะห์ที่เยอะมาก พูดกันตามตรงนะเราทุกคนรู้สึกกลัวขึ้นมานิดๆ เวลาที่เขาตีบทแตกขึ้นมา เตรียมตัวไว้นะพี่น้อง โบรลินจะออกศึกแล้ว”

การแก้ปัญหาของธานอสได้สำเร็จ บางทีอาจนำไปสู่การแก้ปัญหาอื่นตามมา เพราะการท้าทายเขาก็คือการเข้าไปหาความตาย และเมื่อมาถึงเรื่องความตาย มันก็กลายเป็นเรื่องสำคัญสำหรับจักรวาลมาร์เวล ตัวร้ายมาแล้วก็ไป ส่วนตัวละครสมบทก็มีร่วงหล่นไปบ้างตามรายทาง แต่พวกฮีโรตัวเด็ดๆ ยังไม่ถูกแตะต้อง ตลอด 10 ปีท่ี่ผ่านมาพวกเขาเอาตัวรอดได้อย่างหวุดหวิด เจียนอยู่เจียนไป แล้วก็หัวเราะให้กับความตายในท้ายที่สุด ซึ่งจะไม่มีอีกต่อไปแล้ว Infinity Wars เป็นงานที่จริงจังมากกว่าหนังสรวลเสเฮฮาอย่าง Thor: Ragnarok หรือว่า Spider-Man: Homecoming สิ่งหนึ่งที่ความตายของตัวละครย้ำเตือนก็คือ โลกมีเดิมพัน” แอนโธนีกล่าว “ความตายคือความเป็นไปได้ที่ยิ่งใหญ่ในการเล่าเรื่อง”

แล้วบรรดาตัวละครเริ่มจะรู้แล้วหรือยัง? “ไม่ต้องถามนะ” โจ กล่าว “เราวางกรอบมันไว้อย่างนี้ ถ้าช่วง 10 ปีที่ผ่านมาของจักรวาลมาร์เวลเป็นหนังสือเล่มหนึ่ง หนังเรื่องนี้จะเป็นบทสุดท้าย”

อาจจะเป็นเรื่องง่ายไปหน่อย สำหรับการเดาแบบหว่านแหว่าตัวละครไหนบ้างที่จะเจอะกับสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน แต่ถ้าเป็นโลกิเขาก็คงไม่รอจนถึงวินาทีสุดท้าย เพื่อกรอกใบบริจาคอวัยวะหรอก และหากเขาต้องตาย เขาก็จะไม่ใช่คนสุดท้าย “หนังชื่อ Infinity Wars” โจ เสริม “และผู้ชมก็ควรเตรียมพร้อมสำหรับสงคราม” หากหนัง Texas Chainsaw Massacre ในปี 1974 ไม่ใช้คำโปรยที่ว่า “ใครจะรอดตาย และอะไรจะถูกทิ้งไว้ให้พวกเขา?” ไปซะก่อน มันก็น่าจะเหมาะกับหนังเรื่องนี้อย่างที่สุด นอกจากว่าใครจะตายใครจะอยู่? อีกหนึ่งคำถามหนึ่งที่เกิดขึ้นก็คือ นี่ไม่ใช่หนัง Avengers เรื่องสุดท้ายหรอกเหรอ? ไม่ใช่เลย “นี่เป็นแค่บทที่หนึ่ง” คริส อีแวนส์ พูดพร้อมกับหัวเราะ “ก็แค่รออีกแป๊บสำหรับบทที่สอง”

ตอนที่ Infinity Wars ประกาศสร้างครั้งแรก ความตั้งใจเดิมก็คือ จะเป็นหนังสองภาคและทั้งสองเรื่องจะถ่ายทำต่อเนื่องกัน ซึ่งเป็นสัญญาณถึงการขึ้นจอครั้งสุดท้ายตามสัญญา สำหรับนักแสดงหลักหลายๆ คนในจักรวาลมาร์เวล ซึ่งก็มี ดาวนีย์ จูเนียร์, อีแวนส์ และเฮมสเวิร์ธ แต่แผนก็เปลี่ยนไปกลางทาง หนัง Avengers 4 มีกำหนดฉายปีหน้า และไม่ใช่งานที่ถ่ายทำอย่างต่อเนื่องกับ Infinity Wars โดยจะมีช่วงพักเล็กๆ เพื่อให้พี่น้องรุสโซ, มาร์คัส และแม็คฟีลี ได้วางประสบการณ์ที่แตกต่างออกไป “เราชัดเจนมากๆ ในเรื่องที่ไม่อยากทำหนังใหญ่ๆ ขึ้นมาแล้วก็หั่นครึ่งออกเป็นสองภาค” มาร์คัส เผย “มันไม่ใช่หนังภาค 1 และภาค 2 เพราะนั่นส่อว่าเราแยกบางอย่างออกไปตรงกลาง เราไม่อยากให้ใครคิดว่าเกิดอะไรแบบนั้นขึ้น”

หนัง Avengers เรื่องที่สี่ยังอยู่ในความลึกลับ กระทั่งชื่อเรื่อง พี่น้องรุสโซก็ยังไม่ยอมบอกออกมา โดยอ้างว่า มันจะเป็นการสปอยล์หนังเรื่องนี้ “มันเป็นหนังที่อยู่ในเครื่องหมายคำถาม” แอนโธนี บอก “ในอารมณ์แบบคลาสสิคๆ มันเป็นยิ่งกว่าการผจญภัยครั้งยิ่งใหญ่ ด้วยการวางเดิมพันทางความรู้สึกครั้งใหญ่” กับภาพจากกองถ่ายเซ็ทหนึ่ง แสดงให้เห็นเหล่าฮีโรเก่าๆ ปฏิสันถารกับบรรดาน้องใหม่แบบคนคุ้นเคยกันดี ซึ่งนำไปสู่การเดาว่าการเดินทางข้ามเวลาน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งนั่นก็เป็นอีกทางหนึ่งที่ทำให้มั่นใจได้ว่า บรรดาตัวละครที่ตายไปใน Infinity Wars จะกลับมา แต่พี่น้องรุสโซยังไม่แย้มอะไร “คุณน่าจะกลับไปแล้วก็มองหาปริศนาที่อยู่ใน Civil War สำหรับสิ่งที่อยู่ในหนังเรื่องที่ว่า” โจ รุสโซ บอกออกมาเป็นนัยๆ

แต่ที่สิ่งแสดงออกมาให้เห็นก็คือ จุดจบที่ชัดเจน ไม่ใช่แค่เป็นจุดจบของหนังเฟสสาม แต่เป็นนักแสดงหลายๆ คนสำคัญของจักรวาลมาร์เวล มีโอกาสที่สตาร์ค, ธอร์, แบนเนอร์, โรเจอร์ส และนาตาชา โรมานอฟฟ์ อาจจะยังไม่ไปไหน แต่ตอนนี้สัญญากับนักแสดงกำลังจะหมดลง และดูท่าจะไม่มีการต่อสัญญาใหม่ ซึ่งนั่นเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทางมาร์เวลพยายามพัฒนาบรรดาแกนหลักใหม่ๆ The Guardians of the Galaxy ที่จะมาพบผู้ชมอีกครั้งในปี 2020, Doctor Strange ที่หนังนำเดี่ยวของเขาน่าจะออกฉายในเวลาประมาณนั้นเหมือนกัน, Ant-Man และ Spider-Man ที่ตอนนี้กลับมาอยู่ในการดูแลอีกครั้ง แล้วยังมีทีชััลลาจาก Black Panther ที่ความสำเร็จที่ได้รับ เหลือเชื่อเอามากๆ โดยขณะปิดต้นฉบับ Black Panther กลายเป็นหนังนอกจักรวาลมาร์เวล-สตาร์คเรื่องแรก ที่ทำเงินผ่านหลักพันล้านเหรียญทั่วโลก และกลายเป็นหนังมาร์เวลทำเงินสูงสุดในอเมริกา กับความรู้สึกถึงการปฏิวัติที่อยู่รายรอบ ทำให้จักรวาลมาร์เวลมีแรงผลักดันใหม่ๆ “เราปลื้มกับความสำเร็จของหนังมาก (Black Panther)” โจ รุสโซ พูดอย่างภาคภูมิใจราวกับเป็นผู้ให้กำเนิดซะเอง (อย่าลืมว่าเขาคือคนที่แนะนำตัวละครรายนี้สู่จักรวาลมาร์เวลใน Civil War เลยนะ) “ไรอัน คูกเลอร์ สร้างหนังที่แสนมหัศจรรย์ขึ้นมา ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรม”

มีการคาดกันว่าไปๆ มาๆ Black Panther จะกลายเป็นหนังที่เดินเครื่องยานแม่ และอาจจะทำเงินได้มากกว่า Infinity Wars ยิ่งกว่านั้นดูเหมือนว่า Black Panther จะสร้างแรงกระแทก เป็นแรงกระตุ้นให้กับแฟนๆ แห่กันไปดู Infinity Wars เพื่อไปชมฮีโรขวัญใจของพวกเขา ซึ่งในหนังเรื่องนี้ วาคานดาจะมีบทบาทสำคัญต่อเนื่อง จนอาจจะมีการถ่ายเร่งถ่ายทำเพิ่ม ถ่ายใหม่กันในนาทีสุดท้าย เพื่อเปลี่ยนหนังให้เป็น Avengers: T’Challa and Some Other Dudes Too “มันไม่มีทางเปลี่ยนความตั้งใจเดิมๆ ได้หรอก” โจ รุสโซ หัวเราะ

แต่จักรวาลมาร์เวลกำลังเปลี่ยน ทันทีที่จักรวาลซึ่งเคยครอบครองโดยโทนี สตาร์ค ผู้อยู่ใน 5 หนังทำเงินสูงสุดจาก 6 เรื่องแรกของสตูดิโอ มีนายหัวรายใหม่ และความรู้สึกถึงเป้าหมายใหม่ รวมไปถึงการเทคโอเวอร์ฟ็อกซ์โดยดิสนีย์ ที่จะเป็นการเปิดประตูให้กับการมาถึงของ X-Men และ The Fantastic Four มาสู่โลกใบนี้ แต่สิ่งหนึ่งที่จะไม่เปลี่ยนไป หนังที่ยิ่งใหญ่ที่สุด, ทะเยอทะยานที่สุดตลอดกาล วันหนึ่งจะกลายเป็นอีกประสบการณ์หนึ่งในการชมภาพยนตร์ ชั่วนิจนิรันดร์….

โดย ฉัตรเกล้า จากนิตยสารเอนเตอร์เทนฉบับที่ 1254 ปักษ์หลังเมษายน 2561

ติดตามอ่านเรื่องราว ข่าวสาร ชมตัวอย่าง ชมคลิป ชม MV อ่านวิจารณ์หนังและเพลง ได้ด้วยการกดไลค์เพจสะเด่าส์ ได้ที่นี่