FEATURESMusic Features

เบื้องหลังของ “Pour Some Sugar on Me” อีกเพลงดังของพลพรรคเสือดาวหูดับ

กับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น และปฏิเสธไม่ได้ การจัดเพลยลิสต์เพลงร็อกในยุค ‘80s เป็นเรื่องไม่ยาก เมื่อมีเพลงดี ๆ มากมายให้เลือก ในยามที่คิดถึงบรรดาเพลงฮิตโคตร ๆ ทั้งหลาย และแน่นอนว่า หลาย ๆ เพลงคือเพลงที่ขาดไม่ได้ เป็นเพลงที่ต้องมี และหนึ่งในจำนวนนั้นก็คือ “Pour Some Sugar on Me” ของวงดนตรีเสือดาวหูดับ ‘Def Leppard’

จากริฟฟ์กีตาร์ระดับตำนานในช่วงอินโทร แล้วก็เป็นเสียงกลองที่กระหน่ำตามมา ซิงเกิลฮิตเพลงนี้ทำให้โยกหัวตาม ขณะที่ปากร้องตามท่อนคอรัส ได้โดยไม่รู้ตัว

“Pour some sugar on me. Ooh, in the name of love.
Pour some sugar on me. C’mon, fire me up
Pour your sugar on me. I can’t get enough
“Sugar” almost didn’t make the cut.”

“Pour Some Sugar on Me” เป็นเพลงในอัลบัมชุด ‘Hysteria’ ของเดฟ เลพเพิร์ด ที่ออกมาเมื่อปี 1987 ซึ่งเป็นอัลบัมตำนานในแบบเดียวกับที่เพลงนี้เป็น แต่ความเป็นมาของเพลงนั้น มันเป็นการแต่งขึ้นมาโดยอุบัติเหตุ โจ เอลเลียต นักร้องนำของวงเล่าว่า เนื้อร้องในท่อนคอรัส มันแว้บขึ้นมาในหัว ตอนที่เขาพักจากการอัดเสียงอีกเพลงหนึ่งในอัลบัม ‘Hysteria’ ที่อยู่ในช่วงกำลังจะเสร็จเรียบร้อยเต็มที เขาเลยตัดสินใจเข้าไปในห้องควบคุม เพื่อร้องมันกับอะคูสติกกีตาร์ ด้วยริฟฟ์ที่คิดขึ้นมาได้ แล้วโรเบิร์ต แลงจ์ โปรดิวเซอร์ของอัลบัมก็เดินเข้ามา พอได้ยินแลงจ์ก็พูดขึ้น “นายเพิ่งเล่นอะไรไปน่ะ? ไหนเล่นอีกทีซิ” เขาชอบมัน และแนะให้เอลเลียตพัฒนาต่อให้เป็นเพลง

เอลเลียตคิดว่าโปรดิวเซอร์และวง คงไม่พร้อมที่จะอัดเสียงเพลงเพิ่มอีกเพลง เพราะกว่าวงจะเข้ามาทำเพลงกันอีกก็ใช้เวลาร่วม ๆ สองปีครึ่ง แล้วตอนนี้การทำอัลบัมก็กำลังเดินหน้า แน่นะว่าพวกเขาไม่อยากเพิ่มเพลงเข้าไปอีกเพลง ชัวร์หรือมั่วนิ่ม? มั่วนิ่มนะซิ

“ภายในเวลาแค่นาทีเดียว ทันทีที่พวกเราเดินเข้ามาในห้อง พวกเขารู้ในบันดลเลยว่า นี่คือช่วงเวลาที่ ‘กำลังมีอะไรเกิดขึ้น’ ผมบอกพวกเขาว่า ‘เพื่อน ๆ เราได้เพลงนี้มาอีกเพลงว่ะ’ แล้วทุกคนก็ทำหน้าตาเลิ่กลั่ก กลอกตาไปมา” เอลเลียตเล่า “คุณคงพอนึกภาพพวกเขากำลัง ‘ เฮ้ย… นี่นายเล่นมุขหรือเปล่าวะ’ ออกนะ แล้วผมก็บอกไป ‘น่า ๆ รอแป้บ ฟังนะ’ เราเล่นเพลงที่เรามีให้คนอื่น ๆ ฟัง รอยยิ้มฉีกออกมาหลังทุกคนได้ยินมันแค่ 45 วินาที โชคดีจริง ๆ”


ถึงแม้ในตอนนั้น ทุกอย่างจะเป็นไปตามที่วางแผนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว แต่แลงจ์ก็รู้สึกว่า อัลบัมยังขาดเพลงฮิตแบบป็อปที่แข็งแรง และเพลงที่กำลังจะกลายเป็นเพลงสุดท้ายเพลงนี้ ดูมีความเป็นไปได้ หลังใช้เวลาไปสองสัปดาห์เพลงนี้ก็เสร็จเรียบร้อย ทุกอย่างสมบูรณ์ การทำงานราบรื่น และกลายเป็นเพลงที่ 12 ในอัลบัม ‘Hysteria’

เอลเลียตอ้างว่า เพลงได้แรงบันดาลใจบางส่วนมาจากเพลง “Walk This Way” ของ Aerosmith และ Run-DMC ซึ่งทำให้เขารู้สึกถึงความเป็นไปได้ในการผสมผสานดนตรีร็อกและแร็ปเข้าด้วยกัน ส่วนเนื้อเพลง ถูกเขียนขึ้นหลังจากเอลเลียตกับแลงจ์นั่งอยู่ตรงข้ามกันของห้องควบคุม ส่งคำต่าง ๆ ที่คิดขึ้นมาได้เข้าไปในเครื่องอัดเสียงของทั้งคู่ โดยเปิดแบ็กกิงแทร็กของเพลงคลอไปด้วย จากนั้นก็แลกเครื่องอัดเสียงกัน พยายามคิดว่าคำต่าง ๆ ของอีกฝั่งคืออะไร ในตอนหนึ่งของสารคดีชุด คลาสสิก อับบัม ซึ่งว่าด้วยงานชุด ‘Hysteria’ เอลเลียตเล่าว่า เขาคิดว่าเขาได้ยินวลีว่า “love is like a bomb” จากเครื่องอัดเสียงของแลงจ์ และ “นั่นก็คือสิ่งที่สร้างโทนทั้งหมดของเนื้อร้อง”

ท่อนอินโทรของเพลง ถูกอัดเอาไว้สองแบบ ฉบับสตูดิโอจะเป็น “Step inside, walk this way, you and me babe, hey hey!” แล้วจากนั้นเสียงกีตาร์ก็ตัดเข้ามา แต่กับฉบับซิงเกิลจะเป็น “love is like a bomb” และมีโครงของเพลงที่ยาวกว่าพอสมควร

ฤดูใบไม้ผลิของปี 1988 อัลบัม ‘Hysteria’ ทำยอดขายไปแล้วถึง 3 ล้านก็อปปี มากก็จริง แต่ก็ไม่คุ้มทุนค่าทำอัลบัมที่หมดไป 5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ วงตัดสินใจนำฟุตเตจการแสดงจากคอนเสิร์ตที่กำลังจะมีขึ้นทำเป็นคลิปเพลง “Pour Some Sugar on Me” ก่อนที่จะปล่อยมันออกมาเป็นซิงเกิลที่ 4 จากอัลบัม ‘Hysteria’ ในอเมริกาเหนือ และผลลัพธ์ก็คือ “Pour Some Sugar On Me” ไม่ใช่แค่เพลงฮิต แต่ยังกลายเป็นเพลงลายเซ็นของวง โดยขึ้นไปถึงอันดับ 2 ในชาร์ตบิลล์บอร์ดฮ็อต 100 ประจำวันที่ 23 กรกฎาคม 1988 ซึ่งเพลงที่ขวางหน้าเอาไว้ก็คือ “Hold On to the Nights” ของริชาร์ด มาร์กซ์ แล้วก็ถูกเลือกให้เป็นเพลงอันดับ 2 ในรายชื่อ สุดยอดเพลงแห่งยุค ‘80s ของวีเอชวัน

“นี่คือช่วงเวลาพลิกผันที่แสนยอดเยี่ยม ของสถานการณ์ในแบบ จะเป็นยังไงถ้า…? มันโคตรเจ๋ง มันตลกด้วย มันทำให้คุณเกิดสงสัยขึ้นมาว่า อะไรที่เราไม่ได้ทำ (ก่อนหน้านั้น) ก็เพราะมันไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นต่างหาก” เอลเลียต กล่าว

SONG ID
เพลง: “Pour Some Sugar on Me” ศิลปิน: Def Leppard
ซิงเกิลจากอัลบัม: ‘Hysteria’ ของ Def Leppard
เพลงหน้าบี: “I Wanna Be Your Hero” (ในสหราชอาณาจักร) “Ring of Fire” (ในสหรัฐอเมริกา)
วางจำหน่าย: 8 กันยายน 1987 (สหราชอาณาจักร), 16 เมษายน 1988 (สหรัฐอเมริกา), 4 มิถุนายน2012 (ฉบับบันทึกเสียงใหม่)
บันทึกเสียง: ธันวาคม 1986 – มกราคม 1987 (ต้นฉบับ), 2012 (ฉบับบันทึกเสียงใหม่)
แนวเพลง: แกลม เมทัล, ฮาร์ดร็อก, อารีนา ร็อก, พอปร็อก
ความยาว: 4:27 นาที (ฉบับอัลบัม), 4:24 (ฉบับซิงเกิล), 4:52 (ฉบับตัดต่อวิดีโอ ‘Hysteria’), 4:21 (2012 ฉบับบันทึกเสียงใหม่), 5:35 (ฉบับยาวเพิ่มเติม
สังกัด: เมอร์คิวรี
ผู้แต่ง: โจ เอลเลียต, โรเบิร์ต จอห์น ‘มัตต์’ แลงจ์, ฟิล คอลเล็น, สตีฟ คลาร์ก, ริก ซาเวจ
โปรดิวเซอร์: โรเบิร์ต “จอห์น” มัตต์ แลงจ์

สนับสนุนเราได้ที่ -:> https://facebook.com/becomesupporter/Sadaos/ หรือที่บัญชีธนาคารกสิกรไทย หมายเลข 100-2-10283-4 แล้วส่งสลิปการโอนมาที่กล่องข้อความของเพจ sadaos หรือที่อีเมล shopsadaos@gmail.com เพื่อรับของขวัญแทนคำขอบคุณ

ติดตามอ่านเรื่องราว ข่าวสาร ชมตัวอย่าง ชมคลิป ชม MV อ่านวิจารณ์หนังและเพลง ได้ด้วยการกดไลค์เพจสะเด่าส์ ได้ที่นี่

What is your reaction?

Excited
0
Happy
0
In Love
0
Not Sure
0
Silly
0
Sadaos
พบข่าวสารจากวงการหนัง-เพลง ภาพสวยของดาราสาว, วิจารณ์-แนะนำ งานเพลง, ภาพยนตร์ และรับสั่งซื้อ CD/ DVD ทั้งในและต่างประเทศ. Sadaos Is entertainment news page and online shop for people who love movie and music. We sell many entertainment items like used and new DVD, CD, postcards, accessory, souvenirs.

You may also like

More in:FEATURES

Comments are closed.