โรเบิร์ท เอ็กเกอร์สเปิดตัวอย่างสวยสดงดงามด้วย The Witch งานสยองขวัญ ที่ทั้งมีสไตล์ และมีความลุ่มลึก ที่เล่นกับอารมณ์ผู้ชมจนหลอนในความรู้สึกอย่างได้ผล แต่แทนที่จะเดินหน้าทำงานชิ้นต่อมาในช่วงเวลาที่ชื่อตัวเองกำลังขึ้นหม้อ เอ็กเกอร์สเลือกที่จะหายหน้าหายตาไปพักใหญ่ ก่อนที่จะกลับมาด้วยหนังสยองที่พล็อทดูหลอนๆ ไม่แพ้หนังใหญ่เรื่องแรก เรื่องนี้ที่ทิ้งช่วงเวลาห่างกันร่วมๆ 4 ปีเลยทีเดียว
The Lighthouse เป็นเรื่องที่เอ็กเกอร์สหยิบเอาเรื่องสั้นเรื่อง The Light-House ของเอ็ดการ์ อัลเลน โพมาดัดแปลง โดยหนังเป็นเรื่องของเอเฟรม วินสโลว์ (โรเบิร์ท แพ็ททินสัน) เจ้าหน้าที่ดูแลประภาคารหน้าใหม่ ที่ต้องเดินทางไปประจำการในประภาคารที่อยู่บนเกาะห่างไกลเป็นเวลา 4 สัปดาห์ ร่วมกับโธมัส เวค (วิลเล็ม ดาโฟ) ที่จะเป็นเจ้านายของเขาตลอดระยะเวลาการทำงาน
แม้จะอยู่ด้วยกันตามลำพังเพียงสองคน แต่ทั้งคู่ก็เข้ากันได้ไม่ดีนัก ขณะที่บรรยากาศของที่ตั้งประภาคารก็เหมือนกับมีความผิดปกติบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการที่จู่ๆ ก็มีตุ๊กตาแกะสลักรูปนางเงือกซุกไว้ในเตียงของวินสโลว์ รวมถึงนกนางนวลท่าทางประหลาด ที่เวคสั่งวินสโลว์ห้ามไปทำอะไรมัน เพราะจะนำความเลวร้ายมาให้ รวมทั้งมันยังเป็นวิญญาณขอบกะลาสีที่เสียชีวิตในท้องทะเล
ยิ่งเวลาผ่านไปการใช้งานอย่างหนักหน่วงของเวค เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ซากๆ ในทุกวัน รวมถึงความฝันประหลาดที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ทำให้สภาพจิตใจของวินสโลว์ย่ำแย่ แล้วเมื่อเขาลงมือฆ่านกนางนวลเข้า สถานการณ์ก็เลวร้ายมากขึ้น เกิดพายุหนักซัดกระหน่ำ และเรือไม่มารับตามกำหนดไว้ ทำให้ทั้งสองคนต้องอยู่ที่ประภาคารต่ออย่างไม่มีกำหนด ซึ่งนำไปสู่บทสรุปที่เต็มไปด้วยความอึดอัด กดดัน
ในแง่ของการเป็นหนังสยองขวัญหรือเขย่าขวัญ เอ็กเกอร์สยังแสดงให้เห็น ‘คลาสส์’ ที่เหนือกว่าผู้กำกับหนังแนวนี้ทั่วๆ ไป เมื่อเขาไม่ได้เล่นกับการช็อคคนดูให้ตกใจ หรือชวนสะดุ้ง แต่เหลือที่สร้างอารมณ์ความรู้สึกกับผู้ชมมากกว่า ที่ด้วยการเป็นหนังสยอง ย่อมไม่ใช่ความรู้สึกรื่นรมย์สนุกสนานแน่ๆ จนทำให้คนดูมีความรู้สึกที่ถ้าไม่ใช่ก็ใกล้เคียงกับตัวละครในเรื่อง โดยเฉพาะวินสโลว์ ที่ตกเป็นผู้ถูกกระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่ตลอดเวลา
แล้วไม่ใช่แค่ใส่สถานการณ์ต่างๆ อัดตัวละคร (และผู้ชม) กับการเล่าเรื่องด้วยองค์ประกอบอื่นๆ ของเอ็กเกอร์ส ก็ช่วยสร้างความกดดันให้เกิดขึ้นกับคนดูมากขึ้น ไม่ว่าจะการเลือกใช้เฟรมภาพ, การใช้เสียง กระทั่งการใช้ภาพขาว-ดำ ที่ในมุมมองหนึ่งถือว่าเป็นเรื่องดี ที่ช่วยลดความรุนแรงของภาพ แต่ในเวลาเดียวกันมันก็ทำให้เกิดความรู้สึกไม่ผ่อนคลายสักเท่าไหร่ ยิ่งใช้ร่วมกับเฟรมภาพอย่างที่เห็น ก็ยิ่งช่วยสร้างบรรยากาศบางอย่างให้เกิดขึ้นกับผู้ชมระหว่างดูได้มากชึ้น
ในแบบทำให้แต่ละคนอึดอัด กระสับกระส่ายอย่างบอกไม่ถูก
นอกจากจะทำให้ ‘รู้สึก’ การรับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวละคร ก็ยากจะหาคำตอบหรือบทสรุปที่ชัดเจนได้ ไม่ว่าจะเป็นตัวของโธมัส ที่ท้ายที่สุด ไม่ง่ายเลยที่จะฟันธงลงไปว่า สภาพจิตใจของเขาอยู่ในสภาพไหน
รวมถึงสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนเกาะประภาคารแห่งนี้ เอาเข้าจริงๆ เป็นผลมาจากการละเมิดสิ่งที่โธมัสบอกเอาไว้กับวินสโลว์ หรือว่าเป็นเหตุบังเอิญ หรือว่าเพราะสภาพแวดล้อมกลายเป็นตัวทำให้วินสโลว์หรือทั้งคู่มีสภาพจิตใจเปลี่ยนไปอย่างที่เห็น หรือท้ายที่สุดสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นไปตามแผนของที่โธมัสอาจจะวางเอาไว้เพื่อฮุบเงินค่าจ้างที่วินสโลว์ควรได้รับเมื่องานจบ
เห็นได้ชัดว่า เอ็กเกอร์สจัดการงานในส่วนของการเล่าเรื่องได้อยู่หมัด สร้างความรู้สึกอึดอัดจากบรรยากาศให้เกิดกับผู้ชม รวมถึงความรู้สึกเคว้งคว้าง อ้างว้าง ไม่มีตัวละครรายไหนให้ยึดเกาะ
ที่ยังเติมความเข้มข้มลงไปด้วยการแสดงของนักแสดงชายจากสองยุค ที่ไม่มีนักแสดงคนอื่นเข้ามาข้องเกี่ยวเลย ทั้งแพ็ททินสัน ทั้งดาโฟต่างก็เล่นรับ-ส่งก็ได้เป็นอย่างดี และทำให้รู้สึกหลอนกับการกระทำหรือความคิด ตลอดจนการแสดงออกของแต่ละคน ที่ราวจะบอกว่าสิ่งที่เห็นอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เป็น
หนังอาจจะไม่ใช่งานที่ดูง่าย ไม่ใช่หนังสยองที่ตื่นเต้นลุ้นระทึกอะไรมากมาย แต่เป็นงานที่สามารถพาผู้ชมดิ่งลึกไปอยู่ในโลกที่จำเจน่าเบื่อกับตัวละครได้สำเร็จ และเต็มไปด้วยความรู้สึกหลอนๆ กดดัน ที่น่าจะหนักข้อกว่าที่รู้สึกใน The Witch เมื่อผู้ชมอาจจะมืดแปดด้านไม่ต่างไปจากที่ตัวละครวินสโลว์รู้สึก ไปไหนก็ไม่ได้ อยู่ต้องก็เจอแต่เรื่องอะไรก็ไม่รู้ แถมคนที่อยู่ด้วยก็ไม่น่าจะอยู่ร่วมกันอีกต่างหาก
ที่บางทีทั้งผู้ชม ทั้งตัวละครในเรื่อง อาจจะต้องการประภาคารส่องแสงนำทางไม่ต่างกัน
นี่คืองานที่เล่นกับอารมณ์ ไม่ใช่หนังที่สร้างความรื่นรมย์ หรือบันเทิงเริงใจอะไร
โดย นพปฎล พลศิลป์ คอลัมน์ชำแหละแผ่นฟิล์ม นิตยสารเอนเตอร์เทน ฉบับที่ 1297 ปักษ์แรกกุมภาพันธ์ 2563