THE MASTER: เชื่อว่าเพื่อนๆ พี่ๆและน้องๆที่ได้รับชวนให้ไปปรากฏตัวในหนังเรื่อง The Master ของนวพล ธำรงรัตนฤทธิ์ ในฐานะผู้ถูก ‘เต๋อ’ สัมภาษณ์-คงจะรู้สึกเหมือนๆกัน นั่นก็คือพอต้องดูหนังที่ตัวเองเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง มันก็กลายเป็นเรื่องยากที่พวกเราจะเฝ้ามองภาพเคลื่อนไหวเบื้องหน้าด้วยสายตาของบุคคลที่สามหรือในฐานะคนดูหนังธรรมดาๆคนหนึ่ง-ได้อีกต่อไป รวมทั้งในขณะที่เต๋อ นวพลเอ่ยไว้ตรงไหนซักแห่งทำนองว่า The Master เป็นหนังส่วนตัวของเขา หนังเรื่องนี้ก็เป็นหนังส่วนตัวของพวกเราด้วยเหมือนกัน
พูดให้ฟังดูเว่อร์นิดๆ เป็นไปได้ว่าสำหรับนักดูหนังหลายๆคน และคงจะไม่จำกัดเฉพาะบรรดาคนที่ถูกสัมภาษณ์เท่านั้น ถ้าหากเอาชีวิตของพวกเราทั้งหลายเป็นตัวตั้ง แล้วลบออกด้วย ‘ร้านแว่น’ คุณค่าและความหมายของการผจญภัยไปในโลกของการดูหนัง-ก็คงจะเหี่ยวแห้งอับเฉาในฉับพลัน คนทำหนังหลายๆคนคงขาดแรงผลักดันใหม่ๆในแง่ของไอเดีย ส่วนนักวิจารณ์หนังก็คงต้องจำนนอยู่กับเขียนถึงหนังโง่ๆของอาร์โนลด์ ชวาเซเนเกอร์ไปเรื่อยๆ
เพราะฉะนั้น สำหรับคนที่เติบโตทันร้านวิดีโอเทปละเมิดลิขสิทธิ์ในตำนานที่ชื่อ ‘แว่น วิดีโอ’ และเคยไปเย่ียมเยือน สิ่งที่ได้รับบอกเล่าในหนังเรื่อง The Master นับได้ว่า-มีพลังดึงดูดในตัวมันเอง และว่าไปแล้ว คนทำหนังเรื่องนี้แทบไม่ต้องทำอะไรมาก เพียงนำเอาประโยคต่างๆของคนที่ถูกสัมภาษณ์มาเรียงร้อยเชื่อมโยง หนังก็คงเข้าสู่ระบบออโต้ไพล็อท และขับเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยตัวมันเอง
แต่เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่เต๋อ นวพล-กำลังทำและต้องบอกว่าประสบความสำเร็จอย่างน่าชื่นชมก็คือ การไม่พยายามทำให้หนังเรื่องนี้-เป็นงานคืนสู่เหย้าของอดีตลูกค้าร้านแว่นวิดีโอ และอย่างที่ใครๆที่ได้ดูหนังเรื่องนี้พูดเหมือนๆกัน มันใช้เรื่องราว (ที่อาจเรียกได้ว่าเป็น rise and fall) ของร้านแว่น-สะท้อนความเป็นไปหลายสิ่งหลายอย่างที่เป็นเรื่องใหญ่โตกว่านั้นและคนที่เกิดมาไม่เคยได้ยินชื่อร้านแว่น-ก็สามารถนำพาตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องได้ด้วยประการทั้งปวง
ตั้งแต่การพูดถึงความง่อยเปลี้ยเสียขาของการเรียนการสอนวิชาภาพยนตร์ในเมืองไทย (ที่ต้องพึ่งพาของเถื่อนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะไม่อย่างนั้น นักเรียนก็คงจะได้ดูแต่ the Sound of Music จนสามารถร่วมร้องเพลงกับตัวละครได้ขึ้นใจ) การที่ภาครัฐไม่มีทั้งวิสัยทัศน์และไม่ให้การสนับสนุนการเผยแพร่หนังทางเลือกอย่างจริงจัง (เช่นการหยุดจัดเทศกาลหนังไปดื้อๆ) ปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องของตัวบทกฎหมาย แต่ครอบคลุมไปถึงการเข้าถึงแหล่งความรู้-ซึ่งเป็นเรื่องจำเป็น การฉวยโอกาสของคนขายสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ และผลประโยชน์อันมหาศาล และเหนืออื่นใด สำนึกของความผิดชอบชั่วดีของคนซื้อหนัง ซึ่งในเวลาต่อมา กลายเป็นคนทำหนังซะเอง
แต่ก็อีกนั่นแหละ ขณะที่สิ่งที่เอ่ยข้างต้นอาจจะฟังดูเหมือนว่าหนังเรื่องนี้คงซีเรียส แต่จังหวะจะโคนในบอกเล่าเรื่อง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งทักษะในการลำดับภาพอันแพรวพราว-ก็ทำให้ The Master ไม่ได้แค่ดูสนุก แต่หลายช่วงเกือบจะกลายเป็นตลกคาเฟ่ พูดง่ายๆ นอกเหนือจากการขลิบส่วนที่น่าเบื่อทิ้งไป หลายครั้ง-มันทำให้มองเห็นความยียวนกวนประสาทของตัวคนทำหนังเอง และหลายครั้งเช่นกัน มันถูกใช้เพื่อการจุดระเบิดเสียงหัวเราะของผู้ชม แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับการที่มันทำให้ราวๆ แปดสิบนาทีเศษๆ ของหนังผ่านพ้นไปราวกับติดปีกโบยบิน
อย่างที่ทุกคนน่าจะรับรู้เป็นอย่างดีว่า สังคมการดูเทปผีซีดีเถื่อนในปัจจุบัน-แปรเปลี่ยนจากการซื้อแผ่นกลายเป็นการ ‘โหลดบิท’ เรียบร้อยแล้ว ซึ่งโดยส่วนตัว ก็ไม่ปฏิเสธว่า-มีส่วนร่วมในสังฆกรรมดังกล่าวด้วยเช่นกัน และไม่เคยไม่รู้สึกผิด และจริงๆแล้ว-ก็พยายามแสวงหาการชำระล้างทุกวิถีทาง ตั้งแต่การพยายามดูหนังที่โรง-ถ้าเลือกได้ หรือพยายามเขียนถึงหนังต่างๆเหล่านั้นเพื่อว่าอย่างน้อย ก็ถือเป็นการช่วยเผยแพร่ผลงานของคนทำหนังให้เป็นที่รู้จักอีกทาง
ไม่ว่าจะอย่างไร สิ่งที่อยากจะบันทึกไว้ ณ ที่นี้ ซึ่งเป็นเรื่องน่าเสียดายที่ตัวเองดันลืมเอ่ยไว้ในหนังเรื่อง the Master นั่นคือ คนที่ชักนำเข้าสู่วงการบิททอร์เรนท์ และสอนให้ดำผุดดำว่ายใน ‘อ่าวโจรสลัด’ โดยเขียนบอกวิธีการใส่กระดาษให้ลองปฏิบัติตามเป็นข้อๆ ซึ่งก็สัมฤทธิ์ผล และจนถึงทุกวันนี้ ยังรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณครั้งกระนั้นไม่เสื่อมคลาย-ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน
.
.
.
.
.
.
.
.
.
ผู้กำกับหนังเรื่อง The Master นั่นเอง
โดย ประวิทย์ แต่งอักษร
ให้กำลังใจด้วยการคลิกไลค์เพจสะเด่าส์ได้ง่ายๆ ที่นี่