FEATURESMusic Features

เพลงปาฏิหาริย์กับ คำตอบในสายลม

จากเรื่อง The answer my friend, is blowin’ in the wind. หรือสายลมมีคำตอบ? คอลัมน์ The Miracle Songs (เพลงปาฏิหาริย์) โดย เผ่าจ้าว กำลังใจดี

ไม่มีใครเคยจดบันทึกว่าการต่อสู้ระหว่างมนุษย์ด้วยกันครั้งแรกนั้นเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ด้วยความขัดแย้งอะไร บางทีอาจจะเป็นการต่อสู้ของมนุษย์ดึกดำบรรพ์คู่หนึ่งที่พันตูกันเพื่อแย่งชิงอาหารNNS DYLAN EXHIBIT

ไม่เคยมีใครจดบันทึกว่าโลกใบนี้มีการต่อสู้เกิดขึ้นมาแล้วกี่ครั้ง ทั้งการต่อสู้เชิงกายภาพด้วยหมัดและเท้า ทั้งการต่อสู้ทางอุดมการณ์ ต่อสู้ทางความคิดและความเชื่อ อาจกล่าวได้ว่าด้วยการต่อสู้อย่างหลัง หลายครั้งมันก็ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สะเทือนไหวไปทั้งโลก โลกจะเป็นอย่างไรถ้ากาลิเลโอไม่ลุกขึ้นสู้กับศาสนจักร หรือคนอย่างมหาตมะ คานธี และเช กูวารา เกิดอยากนอนไขว่ห้างชมนกชมไม้อยู่กับบ้าน ไม่ลุกขึ้นสู้ตามวิถีทางของตน บางทีมันอาจไม่ได้เป็นอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

ทุกการต่อสู้มีคำถาม ต่อสู้ไปทำไม ต่อสู้เพื่อให้ได้สิ่งใด หรือแม้แต่จะต่อสู้กันไปจนถึงเมื่อไหร่ โดยปกติทุกคำถามย่อมต้องการคำตอบ และในซอกหลืบใดซอกหลืบหนึ่งของการต่อสู้ ที่นั่นอาจมีคำตอบหลบซ่อนอยู่

มีเพลงจำนวนหนึ่งอยู่ในการต่อสู้ จนเราเรียกมันว่าเพลงประท้วง (Protest Song) ที่บ้านเราเรียกอีกอย่างว่าเพลงเพื่อชีวิต (ทั้งที่เพลงแบบไหนมันก็สร้างมาเพื่อชีวิตทั้งนั้น) เพลงประท้วงบางเพลงทำให้เรากล้า เชื่อมั่น ไปจนถึงฮึกเหิมจน เพลงประท้วงบางเพลงก็ปลุกปลอบ ประโลมและให้กำลังใจเราให้แปรความท้อแท้เป็นพลัง บางเพลงเปลี่ยนแปลงโลกได้มากเท่ากับนักต่อสู้

แต่ยังมีเพลงแห่งการต่อสู้เพลงหนึ่งที่ไม่ได้ทำหน้าที่นั้น หากแต่มันทำหน้าที่อันแสนจะขี้สงสัย เป็นเพลงตั้งคำถามมากมายไม่รู้สิ้น มากกว่าอะไรทั้งหมดมันคือเพลงที่สั่นคลอนทุกองค์ประกอบของความเป็นมนุษย์ มันสั่นทอนความเชื่อ ความฝัน สั่นคลอนได้กระทั่งศรัทธาของใครหลายคน ผลจากการสั่นคลอนนั้นทำให้เราต้องหันกลับมาตั้งคำถามว่าที่แท้แล้วการต่อสู้นั้นคืออะไร เพื่ออะไร และได้อะไร เพลงทรงพลังที่ว่านั้นคือ ‘Blowin’ In The Wind’ เพลงในปี 1963 จากอัลบั้ม ‘The Freewheelin’ Bob Dylan’ ของบ็อบ ดีแลน ศิลปินโฟล์กระดับตำนานของอเมริกาและของโลก

The Freewheelin Bob Dylan copyดีแลน ซึ่งมีชื่อเดิมว่า โรเบิร์ต อัลเลน ซิมเมอร์แมน เกิดเมื่อปี 1941 ครอบครัวของเขาอพยพมาจากยูเครน และมาตั้งรกรากในมิเนโซตา อีกสิบกว่าปีให้หลังเขาย้ายมาที่มิเนอาโพลิสและเริ่มสนใจเพลงร็อคจากการฟังเพลงของศิลปินร็อคแอนด์โรลในยุคนั้นอาทิ ลิตเติล ริชาร์ด และ บัดดี ฮอลลี หลังจากเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้เพียงแค่ปีเดียว เขาก็ดร็อปการเรียนและย้ายไปที่นิว ยอร์คเพื่อเดินตามความฝันในการเป็นศิลปิน ปี 1962 ดีแลนก็ออกอัลบั้มแรก (Bob Dylan) สมใจด้วยความช่วยเหลือของวูดดี กัธรีศิลปินโฟล์กที่เป็นขวัญใจอีกคนหนึ่งของเขา

ดีแลนออกอัลบั้มชุดต่อมานั่นก็คือ ‘The Freewheelin’ Bob Dylan’ ในหนึ่งปีให้หลัง อัลบั้มชุดนี้เองที่มีเพลง Blowin’ In The Wind ซึ่งกลายเป็นเพลงสัญลักษณ์แห่งการต่อสู้เพื่อสิทธิและความเท่าเทียมกันของคนในสังคม รวมทั้งกลายเป็นเพลงต่อต้านสงครามเคียงข้างกับเพลงของเขาอีกเพลงอย่าง ‘The Times They Are A Changin’

ในช่วงเวลาดังกล่าวสังคมอเมริกันซึ่งมีพื้นฐานมาจากการอพยพของคนหลายเชื้อชาติ (โดนเฉพาะเชื้อสายอังกฤษในฐานะผู้ปกครอง และคนเชื้อสายแอฟริกันในฐานะผู้ถูกปกครอง) เกิดความแตกแยก เมื่อคนที่ถูกปกครองไม่ต้องการถูกปกครองอีกต่อไป การต่อสู้ระหว่างสองชนชั้นจึงเกิดขึ้น มีคนผิวสีถูกฆ่าตายจำนวนมาก เช่นเดียวกับคนผิวขาว

ดีแลนเขียนเพลง ‘Blowin’ In The Wind’ ด้วยการนำทำนองเพลงพื้นบ้านของพวกนิโกรที่ชื่อว่า ‘No More Auction Block’ มาเรียบเรียงและเขียนเนื้อใหม่ การนำเพลงที่ร้องเล่นกันยามว่างของคนผิวสีหรือชนชั้นแรงงานมาใช้นี้แสดงให้เห็นว่าเขาต้องการให้เพลงนี้เป็นตัวแทนของคนผิวสี พูดแทนคนผิวสี เรียกร้องแทนพวกเขา แม้ตัวเขาเองจะมีสีผิวที่แตกต่างออกไปก็ตาม

มาร์ติน สกอร์เซซีผู้กำกับภาพยนตร์ระดับปรมาจารย์พูดถึงเพลงนี้เอาไว้เมื่อคราวที่เขาทำภาพยนตร์สารคดีเกี่ยวกับบ็อบ ดีแลนเรื่อง No Direction Home ว่า ‘Blowin’ In The Wind’ ได้กลายเป็นเพลงสัญลักษณ์แห่งการต่อสู้ ว่าเขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเด็กหนุ่มผิวขาววัย 21 อย่างดีแลนสามารถจับความรู้สึกและอารมณ์ของการถูกกดขี่ได้จับใจและทรงพลังมากเท่านี้

ไม่เพียงแต่พูดแทน และเรียกร้องให้กลุ่มคนที่ถูกกดขี่เหล่านั้น ‘Blowin’ In The Wind’ ยังตั้งคำถามที่สั่นคลอนศีลธรรม มนุษย์ธรรมในใจของชนชั้นปกครอง เขาตั้งคำถามมากมายในบทเพลงนี้ หลายคำถามเป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เขาบอกว่าบางที คำตอบเหล่านั้นอาจล่องลอยอยู่ในสายลม ซึ่งแปลว่ามันอาจมีหรือไม่มีก็ได้

blowin singleมีข้อสงสัยและคำถามมากมายเกี่ยวกับเพลงนี้ ไม่ว่าจะเป็นคนกลุ่มหนึ่งที่ระบุว่าเป็นเพื่อนวัยเรียนของดีแลนที่อ้างว่าเป็นคนแต่งเพลงนี้เป็นคนแรก (และดีแลนนำมาทำใหม่เพื่อบันทึกเสียง) แต่ดูเหมือนไม่มีคนสนใจเรื่องนี้มากเท่ากับนัยยะซ่อนเร้นมากมายที่พวกเขาเชื่อว่ามันแฝงอยู่ในเพลง ‘Blowin’ In The Wind’

ไมเคิล เกรย์ ผู้เขียน ‘Dylan encyclopedia’ ระบุว่าดีแลนตั้งใจให้เพลงนี้เกี่ยวข้องกับพระคัมภีร์ใหม่ที่มีพื้นฐานมาจากพระคัมภีร์เก่าของเอเซเกล (12:1–2) ที่ระบุว่า “The word of the Lord came to me: ‘Oh mortal, you dwell among the rebellious breed. They have eyes to see but see not; ears to hear, but hear not.” (พระเจ้ากล่าวกับเราว่า ‘มนุษย์เอย เจ้าใคร่ครวญอยู่ท่ามกลางการเติบโตที่ไม่เคยเชื่อฟัง เจ้ามีดวงตาที่สามารถมองเห็นแต่ก็ไม่เห็น มีหูที่ได้ยิน แต่ก็ไม่เคยได้ฟัง) ใน ‘Blowin’ in the Wind’ ดีแลนเขียนไว้ว่า “Yes’n’ how many ears must one man have?” และ  “Yes’ n’ how many times must a man turn his head / Pretending he just doesn’t see?

ไม่มีคำอธิบายใดๆ จากดีแลนกี่ยวกับที่มาของเพลงนี้ เขาปฎิเสธทุกนัยยะที่ผู้ฟังสามารถตีความได้ โดยบอกว่า “นอกจากเรื่องที่ว่าคำตอบอยู่ในสายลมแล้ว ผมคิดว่าไม่มีอะไรจะพูดในเพลงนี้อีก คำตอบเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในหนัง ในรายการทีวี ในหนังสือ หรือแม้แต่ในคนที่จับกลุ่มถกเถียงกัน มันอยู่ในสายลม ล่องลอยอยู่ในนั้น คนเก่งๆ หลายคนมักจะถามผมว่าคำตอบอยู่ที่ไหน ผมก็ตอบไปทุกครั้งว่ามันอยู่ในสายลม ก็เหมือนกระดาษที่กำลังปลิว บางครั้งมันก็ตกลงมาแล้วก็ปลิวไปอีก ไม่เคยมีใครสนใจมันหรอก ผมอยากบอกว่าอาชญากรรมและการประหัตประหารกันนั้นก็เหมือนกัน มีคนรู้เห็น เขาอาจจะหันมามองแล้วก็หันกลับไป มันก็แค่นี้แหละ คุณจะมาเอาอะไรกับผม ผมก็แค่เด็กอายุ 21 พวกคุณต่างหากที่อายุมากกว่าและฉลาดกว่าผม”

‘Blowin’ In The Wind’ ประสบความสำเร็จในทางลึกและทางกว้าง มันถูกนำไปร้องใหมโดย ปีเตอร์, พอล แอนด์ แมรี และกลายเป็นเพลงฮิตติดชาร์ต นับจนปัจจุบันมันถูกคัฟเวอร์ไปแล้วกว่าร้อยครั้ง ติดอันดับเพลงยอดเยี่ยมจากนานาสถาบันก็อีกหลายหน

มากไปกว่านั้น นี่คือเพลงอมตะ มันเป็นอมตะได้ก็เพราะว่ามันได้สร้างชุดคำถามที่ยังไม่เคยมีใครตอบได้อย่างจะแจ้ง (แม้ แซม คุก จะแต่งเพลง ‘A Change Is Gonna Come’ แทนคำตอบแต่ก็ยังไม่ตอบคำถามทั้งหมด) เป็นคำถามที่เราต้องหันกลับมาพิจารณาตัวเราและคนรอบข้าง

ในท่ามกลางความขัดแย้งที่เข้มข้นนั้น ห้วงคำนึงหนึ่งที่เราอาจสงสัยว่า เรากำลังต่อสู้กับอะไร สู้อย่างไร เพื่ออะไร คุ้มค่าหรือไม่ และจะสู้ไปถึงเมื่อไหร่

ห้วงเวลานั้น บางทีคำตอบอาจอยู่ในสายลม

สายลมที่ไม่มีใครฉวยหรือคว้าเอาไว้ได้

BLOWING IN THE WIND
How many roads must a man walk down
Before you call him a man?
How many seas must a white dove sail
Before she sleeps in the sand?
Yes, how many times must the cannon balls fly
Before they’re forever banned?
The answer my friend is blowin’ in the wind
The answer is blowin’ in the wind.

Yes, how many years can a mountain exist
Before it’s washed to the sea?
Yes, how many years can some people exist
Before they’re allowed to be free?
Yes, how many times can a man turn his head
Pretending he just doesn’t see?
The answer my friend is blowin’ in the wind
The answer is blowin’ in the wind.

Yes, how many times must a man look up
Before he can see the sky?
Yes, how many ears must one man have
Before he can hear people cry?
Yes, how many deaths will it take till he knows
That too many people have died?
The answer my friend is blowin’ in the wind
The answer is blowin’ in the wind.

What is your reaction?

Excited
0
Happy
0
In Love
0
Not Sure
0
Silly
0
Sadaos
พบข่าวสารจากวงการหนัง-เพลง ภาพสวยของดาราสาว, วิจารณ์-แนะนำ งานเพลง, ภาพยนตร์ และรับสั่งซื้อ CD/ DVD ทั้งในและต่างประเทศ. Sadaos Is entertainment news page and online shop for people who love movie and music. We sell many entertainment items like used and new DVD, CD, postcards, accessory, souvenirs.

You may also like

More in:FEATURES

Comments are closed.