เรื่องราวของ แบรดลีย์ คูเปอร์ ผู้ชายตามฝัน และงานของเขาที่แฟนตัวจริงห้ามพลาด

ทันทีที่รายชื่อผู้เข้าชิงรางวัลออสการ์ครั้งที่ 87 ประกาศออกมา และแบรดลีย์ คูเปอร์ นักแสดงหนุ่ม คนที่เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ นักแสดงสาวเจ้าของรางวัลออสการ์เมื่อ 2 ปีก่อนบอกว่า เป็น “คู่แท้ทางการแสดงของเธอ” เข้าชิงรางวัลอีกครั้งในสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม จากภาพยนตร์เรื่อง American Sniper เขาก็กลายเป็นนักแสดงประวัติศาสตร์ทันที เพราะก่อนหน้านี้มีนักแสดงชายเพียงแค่ 9 รายเท่านั้น ที่ทำสถิติเข้าชิงอย่างน้อย 3 ปีติดต่อกัน

โดยหนแรกที่นักแสดงหนุ่มหล่อ หน้าตาดีรายนี้เข้าชิง ก็คือปี 2012 จากหนังเรื่อง Silver Linings Playbook ในสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม โดยที่เจนลอว์คู่แท้ทางการแสดงของเขาคว้ารางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม ก่อนที่ปีต่อมาเขาจะได้เข้าชิงจาก American Hustle ในสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม ที่น่าสนใจก็คือ หนังทั้งสองเรื่องที่เขาเข้าชิงนั้น มีเจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ เป็นนักแสดงร่วมจอ และเดวิด โอ. รัสเซลล์เป็นผู้กำกับ แล้วก็อย่างที่รู้กัน เขาพลาดรางวัลทั้งสองครั้ง สองคราแต่กับครั้งนี้ บททหารหน่วยซีล – คริส ไคล์ ในภาพยนตร์ที่กำกับการแสดงโดยคลินท์ อีสต์วูด อาจจะเป็น ‘Third Time Lucky’ สำหรับเขา ตามความเชื่อของฝรั่งก็เป็นได้

ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริงๆ ก็ถือว่า เป็นรางวัลสำหรับการเดินทางอย่างไม่ย่นระย่อต่อความยากลำบากของผู้ชายคนนี้ ที่เริ่มตั้งแต่จบมหาวิทยาลัย จอร์จทาวน์ ในปี 1997 เด็กหนุ่มมี่ชื่อแบรดลีย์ คูเปอร์ เริ่มต้นแผ้วถางทางให้กับตัวเอง ที่ไม่ใช่เป็นเพียงนักแสดงที่ทำงานหนัก ขยัน แต่ยังเป็นนักแสดงที่ดี มีคุณภาพ ด้วยการสมัครเรียนในสาขาการแสดงที่ the Actors Studio Drama School ในมหาวิทยาลัย นิว สคูล นับจากนั้นคูเปอร์บ่มเพาะ หล่อหลอม ความสามารถของตัวเองด้วยความรักในการทำงาน มากกว่าจะเป็นเพราะเพื่อหาเงินเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง

แล้วโอกาสแรกก็มาถึง เมื่อเขาได้บทเล็กๆ ในซีรี่ส์ Sex and the City เมื่อปี 1998 รวมไปถึงบทนำในซีรี่ส์อายุสั้นของดาร์เรน สตาร์ เรื่อง The $treet เห็นได้ชัดว่า เวลาของเขายังมาไม่ถึง ทำให้คูเปอร์ต้องจัดการชีวิตให้ดีขึ้น เขาใช้เวลาไปสอนการแสดงให้เด็กๆ ในย่านแออัดของเมือง ผ่านการเรียนในโปรแกรม the Learning through the Expanded Arts รวมไปถึงรับจ็อบเป็นพิธีกรให้รายการ Extreme Treks in a Wild World ทางช่อง Discovery Channel ซึ่งเขาต้องเดินทางไปถึงเปรู และบริติช โคลัมเบีย

จนปี 2001 บทบาทแรกในหนังใหญ่ก็มาถึง ด้วยบทในหนังตลกรั่วๆ Wet Hot American Summer ซึ่งในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันนั้น เขาก็ไปคัดเลือกนักแสดงในซีรี่ส์ Alias และได้บทวิลล์ ทิพพิน มาอยู่ในมือ 2 ฤดูฉาย และนอกจากซีรี่ส์ฮิตเรื่องนี้ คูเปอร์ยังถูกเลือกให้เล่นซีรี่ส์ที่ถูกยกเลิกการสร้างอีกหลายต่อหลายเรื่อง เช่น Miss Match, Touching Evil และ Kitchen Confidential

กับงานที่มาต่อเนื่อง คูเปอร์ค้นพบว่า ตัวเองประสบความสำเร็จมากขึ้นเรื่อยๆ ในหนังเบาสมอง และหนังของโอเวน วิลสัน The Wedding Crasher ในปี 2005 ก็ทำให้คูเปอร์กลายเป็นที่รู้จักในวงกว้างกว่าเดิม นับจากนั้น บทในหนังใหญ่ เรื่องเด่นๆ ก็เข้ามาหา ไม่ว่าจะเป็น Failure to Launch (2006) หรือ Yes Man (2008) แล้วในปีต่อมา คูเปอร์ก็ดังเป็นพลุแตกกับหนังฮาระเบิดระเบ้อ The Hangover ที่มีภาคต่อตามมาอีก 2 เรื่อง เขากลายเป็นชื่อที่คนรู้จักกันทั่วบ้านทั่วเมือง รวมไปถึงได้เล่นบทเด่นๆ ตามมา

“มันก็เดิมๆ นั่นแหละ ผมหมายความว่า ถึงประตูหลายบานจะเปิดมากขึ้น แต่มันก็ไม่ใช่แบบ… ผมนั่งกระดิกนิ้วสูบซิการ์ ตื่นมาในเช้าวันจันทร์ แล้วก็บอกผ่านบทที่ถูกเสนอมาให้” คูเปอร์พูดถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจาก The Hangover ที่ทำให้เขาได้บทในหนังอีกหลายๆ เรื่อง ซึ่งหนึ่งในจำนวนนั้นก็คือ Limitless หนังที่เขาขึ้นชื่อนำเดี่ยว หรือ The A-Team ที่เขาขึ้นจอกับทีมนักแสดงที่ประกอบด้วย เลียม นีสัน, ชาร์ลโต คอปลีย์

แล้วบทในหนัง Silver Linings Playbook ที่เขารับบทเป็นหนุ่มที่ป่วยด้วยอาการไบ-โพลาร์ ที่พยายามหาทางเอาชีวิตของตัวเองกลับมา หลังถูกปล่อยตัวออกมาจากสถาบันทางจิต ก็ทำให้เขาได้เข้าชิงออสการ์ และที่เหลือก็ต้องบอกตามที่นิยมกันว่า “ก็คือประวัติศาสตร์” จริงๆ เมื่อเขาได้เข้าชิงออสการ์ถึง 3 ปีติดจากหนังเรื่องนี้, American Hustle และ American Sniper หนังที่ในตอนแรก สตีเวน สปีลเบิร์กเข้าชื่อเป็นผู้กำกับ ก่อนที่จะถอนตัวออกไปและได้คลินท์ อีสต์วูดเข้ามาแทนที่

นอกจากจะมีงานแสดงคุณภาพติดๆ กันอย่างที่เห็น คูเปอร์ยังไปให้เสียงเจ้าแรคคูนตัวแสบในหนังซูเปอร์ฮีโรของมาร์เวล์ Guardians of the Galaxy ซึ่งเป็นหนังทำเงินสูงสุดในอเมริกาของปี 2014 ขณะที่หน้าตาอันหล่อเหลาก็ทำให้เขากลายเป็น หนุ่มเซ็กซีที่สุดในโลกประจำปี 2011 ของนิตยสารพีเพิลมาแล้ว

ไม่ว่าจะได้รางวัลออสการ์หรือไม่ก็ตาม อนาคตของแบรดลีย์ คูเปอร์ นักแสดงหนุ่มวัยแตะเลขสี่ ที่เลิกดื่มแอลกฮอล์มาตั้งแต่อายุ 29 ปี ด้วยสาเหตุที่ว่า มันทำลายชีวิตเขา หลังช่วงต้นๆ ของการทำงาน การติดสิ่งเสพติดต่างๆ ทำให้เขาเกือบจะต้องฆ่าตัวตายมาแล้ว ยังทอดยาวไปอีกไกล หลังจากนี้เขามีโปรเจ็คท์ในหนังที่ยังไม่มีชื่อ ของผู้กำกับคาเมรอน โครว์ ที่เขาต้องประกบกับ เอ็มมา สโตน และราเชล แม็คอดัมส์ ตามด้วยหนังของบิลล์ เมอร์เรย์ และจอห์น คราซินสกี

แต่ก่อนที่จะไปถึงตรงนั้น… นี่คือหนังที่ดีมาพร้อมการแสดงที่ดีที่สุดของผู้ชายคนนี้ ที่ตามฝันการเป็นนักแสดงตั้งแต่หนุ่มๆ และครั้งหนึ่งเคยลุกขึ้นถามฌอน เพ็นน์ ถึงกลเม็ดสู่การเป็น “นักแสดง” ที่ประสบความสำเร็จ เมื่อเพ็นน์มาพูดในมหาวิทยาลัยที่เขาเรียนการแสดง แต่วันนี้เขาคือคนที่จะให้คำตอบกับคนอื่นๆ บ้างแล้ว

Silver Lining Playbook

งานรอม-คอม สำหรับคอหนังที่ไม่ชอบหนังโรแมนติค อ่านแล้วงงๆ ใช่ไหม ในหนังเรื่องนี้ เป็นครั้งแรกที่เขาทำงานร่วมกับผู้กำกับ เดวิด โอ.รัสเซลล์ โดยคูเปอร์ต้องรับบทเป็น แพ็ท โซลาทาโน จูเนียร์ อดีตครูที่พบว่าตัวเองเป็นโรคทางประสาทที่ทำให้อารมณ์แปรปรวน และควบคุมตัวเองไม่ได้ เมื่อเกิดอารมณ์โกรธจนมีแนวโน้มที่จะกลายเป็นพวกชอบใช้ความรุนแรง แพ็ทเพิ่งถูกปล่อยออกมาจากโรงพยาบาลทางจิต และเขาอยู่ในช่วงเวลาที่พยายามจะกลับมาคืนดีกับภรรยาที่ห่างเหินจากเขาให้ได้ แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ไปตกหลุมรัก ทิฟฟานี แม็กซ์เวลล์ (เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์)

สำหรับการเข้าถึงบทของผู้ชายที่ต้องต่อสู้กับอารมณ์ และระบบทประสาทอันยากเกินจะควบคุม คูเปอร์เข้าชิงรางวัลสารพัดเป็นว่าเล่น ในสาขานักแสดงนำชาย ไม่ว่าจะเป็นบนเวทีออสการ์, บาฟตา หรือว่าลูกโลกทองคำ รวมไปถึงรางวัลของบรรดานักวิจารณ์

American Hustle

ปรากฏตัวบนจอด้วยผิวสีแทน และผมหยิกหยอง เป็นอีกครั้งที่แบรดลีย์เอาชนะในนักวิจารณ์, กรรมการงานประกาศรางวัลต่างๆ และผู้ชม การทำงานหนที่สองกับผู้กำกับเดวิด โอ.รัสเซลล์ เขาขึ้นจอในบทเอฟบีไอ – ริชี ดิมาโซ หนุ่มท่าทางไม่ค่อยซื่อ และตัวพองไปด้วยความหลงตัวเอง แบรดลีย์เป็นอีกหนึ่งแรงที่ส่งให้ American Hustle กลายเป็นหนังตุ๋นรวมดาว ที่เต็มไปด้วยพลัง และเขาก็ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์, บาฟตา และลูกโลกทองคำ ตลอดจนรางวัลของบรรดานักวิจารณ์ ในสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม จากการแสดงของตัวเองมาเป็นการตอบแทน และหนังก็ได้รางวัลทีมนักแสดงยอดเยี่ยม ซึ่งเท่ากับรางวัลหนังยอดเยี่ยมของสมาคมนักแสดงมาครอง

Wet Hot American Summer

นี่ไม่ใช่หนังของแบรดลีย์ คูเปอร์ ที่เป็นที่โปรดปรานของนักวิจารณ์ แต่หนังเบาสมองแสนมหัศจรรย์ของผู้กำกับเดวิด เวนจากปี 2011 เรื่องนี้ กลายเป็นงานคัลท์อีกเรื่องสำหรับผู้ชม และมักจะถูกพูดถึงว่า เป็นหนังที่เป็นงานส่งคูเปอร์ และเอมี โพห์เลอร์ ให้เป็นที่รู้จักในวงการ กับหนังที่เรื่องราวว่าด้วยเหตุการณ์ในแคมป์หน้าร้อนเรื่องนี้ คูเปอร์รับบท เบน อีแอบที่เป็นคู่หูของซูซี ที่รับบทโดยโพห์เลอร์ ด้วยการแสดงที่ออกมาดูจริงจัง เล่นกันแบบเนื้อๆ ที่ไม่ต่างไปจากในการแข่งขันประชันความสามารถการแสดง ที่เล่นออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ

The Place Beyond the Pines

ตอนที่มาเล่นหนังเรื่องนี้ คูเปอร์ถูกมองว่าเป็นหนุ่มเซ็กซีไปแล้วเรียบร้อย จากหนังอย่าง Wedding Crashers, Limitless แต่ในหนังของผู้กำกับ เดเร็ค ซิแอนฟรานซ์ ที่ว่าด้วยเรื่องราวซึ่งเกิดขึ้นข้ามยุค ข้ามสมัยของผู้คนเรื่องนี้ ซึ่งพูดถึงความเป็นลูกผู้ชาย, เชื้อไม่ทิ้งแถว และความภาคภูมิใจเรื่องนี้ แบรดลีย์รับบทเป็นเอเวอรี ครอสส์ ตำรวจหนุ่มมาดเนี้ยบ ที่ต้องต่อสู้กับปีศาจในจิตใจ ที่มีที่มาจากความผิดส่วนตัวและการมีส่วนในเรื่องคอรัปชันร้ายแรงในกองกำลังตำรวจที่เขาสังกัดอยู่
คูเปอร์ มอบการแสดงที่พอฟัดพอเหวี่ยงกับนักแสดงร่วมจออย่าง เรย์ ลิออตตา และไรอัน กอสลิงได้สบายๆ

The Hangover

งานเบาสมองแบบผู้ช๊าย… ผู้ชายของท็อดด์ ฟิลลิปส์ ที่แม้งานภาคต่อของหนังเรื่องนี้ จะแสดงให้เห็นว่าขาดไร้ซึ่งแรงบันดาลใจอย่างสิ้นเชิง แต่กับหนังตอนแรกของชุด ที่กลายเป็นงานไตรภาคในตอนหลังเรื่องนี้ ก็ทำให้ผู้ชมหัวเราะออกมาได้อย่างสนุก กับการไปพบกับเพื่อนซี้ก๊วนหนึ่งมราจะต้องตามแกะรอย สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากปาร์ตีสละโสดในคืนก่อนหน้านั้นที่เวกัส ทำเอาพวกเขา “วูบ” ไปจนเช้า เพื่อตามหาเจ้าบ่าวหนุ่มที่หายตัวไปให้เจอ และไปส่งให้ทันงานแต่งงาน หนังเต็มไปด้วยสถานการณ์ต๊องๆ ดูโง่ๆ และมุขที่มาจากเหตุการณ์ประหลาดๆ ที่ยากจะคาดคิด ซึ่งพวกเขาต้องไปเจอ ไม่ว่าจะเป็น เสือโคร่งในห้องน้ำ, เด็กทารกที่ไม่มีใครต้องการ

คูเปอร์รับบทเป็น ฟิล เวนเน็ค ครูหนุ่มมาดแมน หน้าตาดี ที่พยายามจะ “เท่” เสมอ และหาทาออกให้ตัวเอง และเพื่อนๆ ท่ามกลางสถานการณ์สับสนอลหม่าน อลวน พัลเก ยุ่งเหยิงไปหมด

จากเรื่อง แบรดลีย์ คูเปอร์ ผู้ชายตามฝัน โดย ลุงทอย นิตยสาร HIP เชียงใหม่