แพ็ท เบเนทาร์ คือร็อคเกอร์สาวเจ้าของเพลงฮิตมากมายในยุค 80 ที่แจ้งเกิดเปิดตัวได้อย่างสวยงามด้วยอัลบัม In the Heat of the Night ที่ทำยอดขายได้ในระดับแผ่นแพลตินัม พร้อมกับมีเพลงฮิตอย่าง “Heartbreaker” และ “We Live for Love” แต่เชื่อไหมว่าอัลบัมที่ออกเมื่อ 27 สิงหาคม 1979 ชุดนี้ แล้วส่งให้เบเนทาร์กลายเป็นหนึ่งในศิลปินที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของยุค 80 เกือบจะกลายเป็นงานที่คว่ำสนิทไปแล้วด้วยซ้ำ ก่อนจะกลายเป็นอัลบัมอันดับ 7 บนชาร์ทอัลบัมประจำปี 1980 ของนิตยสารบิลล์บอร์ด อย่างที่เห็น และนี่คือเรื่องราวของการเดินทางจากหายนะไปสู่ความสำเร็จของ In the Heat of the Night ที่คอรีย์ เออร์วินแห่ง ultimateclassicrock.com เล่าเอาไว้
กระทั่งเส้นทางการเป็นร็อคสตาร์ของเบเนทาร์ก็ใช่ว่าจะปกติ เพราะก่อนหน้านี้ แพทริเซีย เม อันเดรซจิวสกี วางแผนชีวิตไว้ว่าจะเป็นครูสอนหนังสือ ก่อนจะเปลี่ยนใจฝันถึงการเป็นสตาร์ของวงการเพลงในเวลาต่อมา เธอมีเสียงร้องที่ดี และเป็นหนึ่งในนักร้องประสานเสียงของโรงเรียน ดีถึงขั้นครูคนหนึ่งถึงกับเรียกพ่อ-แม่ของเธอมาคุยด้วย เพื่อให้ทั้งคู่เข้าใจถึงพรสวรรค์ที่ลูกสาวมีอยู่ในตัว
ปี 1972 เธอเปลี่ยนนามสกุลเป็นเบเนทาร์หลังจากแต่งงาน และหลังจากนั้นไม่นาน เธอก็เริ่มสั่งสมประสบการณ์ด้วยการร้องเพลงเป็นประจำในคลับ Catch a Rising Star ที่นิว ยอร์ค ซึ่งทำให้เธอได้เรียนรู้อะไรมากมาย รวมทั้งให้อิสระกับเธอในการลองทำอะไรใหม่ๆ จากนั้นเธอก็ได้ลองเล่นในคณะคาบาเรท์ รวมไปถึงเล่นละครเพลงร็อคนอกบรอดเวย์ ที่ทั้งหมดล้วนทำให้การใช้เสียงของเธอพัฒนามากขึ้น รวมไปถึงเสียงเล่าอ้างถึงความสามารถของเธอก็ขจรขจายไปทั่วเช่นกัน จนบรรดาผู้บริหารค่ายเพลงถึงกับเริ่มมาดูตัวเธอถึงหน้าเวที และท้ายที่สุดเบเนทาร์ก็เซ็นสัญญากับสังกัดไครซาลิส เรคอร์ดส์
จากหนังสือบันทึกความทรงจำของเบเนทาร์ Between a Heart and a Rock Place เมื่อปี 2010 เธอเล่าถึงการประชุมหนแรกกับต้นสังกัดใหม่ของเธอว่า “ฉันอธิบายไปว่า อะไรบ้างที่ตัวเองอยากทำให้สำเร็จ พยายามอธิบายให้พวกเขาเข้าใจถึงซาวนด์แบบฮาร์ดร็อค ที่ฉันกำลังทำอยู่ แต่ยังไม่สำเร็จ” เธอเล่า “เป็นความคิดแบบมีผู้หญิงสักคน ที่ร็อคสู้กับผู้ชายได้ เล่นคอนเสิร์ทในสนามกีฬาไหว แล้วก็ขายแผ่นเสียงได้เยอะๆ ซึ่งไม่เคยมีใครได้ยินมาก่อน”
คอนเส็ปท์ฟังดูดีก็เป็นเรื่องหนึ่ง และการทำให้มันเป็นจริงก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง และความพยายามแรกของต้นสังกัดก็คือ รวบรวมนักดนตรีห้องอัดมือดีที่สุดของนิว ยอร์คมาช่วยทำอัลบัมของศิลปินหน้าใหม่รายนี้ให้สำเร็จ มองโดยผิวเผินวิธีนี้น่าจะเป็นการกระทำที่ฉลาด แต่เบเนมาร์บอกว่า เป็นการทำงานที่เรียกได้เลยว่า “หายนะ”
“ทุกอย่างผิดไปหมด” เธอย้ำ “เพลงต่างๆ ที่ทำออกมา ในทางเทคนิคแล้วถือว่าใช้ได้ แต่มันไม่มีวิญญาณ ไม่มีความปรารถนา เป็นการบันทึกเสียงที่ล้มเหลว ฉันนั่งร้องไห้เป็นวันๆ คร่ำครวญออกมาว่า ฉันจบเห่ก่อนที่จะได้เริ่มซะอีก”
ไครซาลิสตัดสินใจเปลี่ยนวิธีการทำงาน นำโปรดิวเซอร์ไมค์ แชปแมน ที่เคยทำงานกับ Blondie และ the Knack เข้า และกลายเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ “เขาเข้าใจมัน” เบเนทาร์ พูดถึงแชปแมน “เขารู้ว่าฉันพูดถึงอะไร” ในเรื่องทิศทางของดนตรี
นีล ‘สไปเดอร์’ จิราลโด มือกีตาร์ถูกดึงเข้ามาทำงาน ตามคำแนะนำของแชปแมน และเบเนทาร์ก็รู้สึกต่อกันติดกับนักดนตรีเพียงแค่หนที่สองที่ได้เจอกัน “ครั้งแรกที่เราเริ่มทำงานด้วยกัน ฉันรู้ว่าสไปเดอร์มีไอเดีย” เบเนทาร์ เผย “ความคิดของเขาไม่เคยหยุดนิ่ง เขาทดลองทำโน่นทำนี่ไปเรื่อยๆ แล้วพยายามลองอะไรใหม่ๆ แล้วก็รู้ชัดเจนว่าต้องการอะไรบ้างเพื่อที่จะก้าวไปได้ไกลกว่าเดิม และอะไรบ้างที่ต้องทิ้งๆ มันไป เห็นได้ชัดเลยว่านั่นคือสิ่งที่ฉันไม่มี”
เคมีที่ลงตัวของทั้งคู่ขยายขอบเขตไปไกลกว่าเรื่องของดนตรี เมื่อเบเนทาร์แยกทางกับสามีคนแรกเพื่อมาแต่งงานกับจิราลโดในเวลาต่อมา
ด้วยความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ ที่มีให้เลือกใช้รายรอบตัวเธอ อัลบัมชุดแรกของเบเนทาร์ก็เริ่มเข้าที่ “Heartbreaker” กลายเป็นเพลงโดดเด่นอย่างเห็นได้ชัดของอัลบัม “มันเป็นการบันทึกเสียงที่สนุกมาก แล้วกลายเป็นเพลงที่วางโทนของอัลบัม” เบเนทาร์เล่าเอาไว้ในหนังสือบันทึกความทรงจำ
กับเพลงอื่นๆ ที่ถือได้ว่าเป็นไฮไลท์ของอัลบัม ก็มีสามเพลงที่แต่งโดนแชปแมนกับคู่หูในการแต่งเพลงของเขา – นิคกี ชินน์ “If You Think You Know How to Love Me”, “No You Don’t” และเพลงที่กลายเป็นชื่อชุด “In the Heat of the Night” แล้วก็ “I Need a Lover” ที่คัฟเวอร์เพลงของจอห์น คูการ์ เมลเลนแคมป์ ซึ่งเบเนทาร์บอกว่า เธอ “ปิ๊ง” แทบจะในทันที อยู่ในอัลบัมชุดนี้
ทุกวันนี้เบเนทาร์ยังมองว่า “Heartbreaker” เป็นเพลงที่สร้างนิยามให้กับอัลบัม เธอหวังว่ามันจะเป็นซิงเกิลนำของอัลบัม และเสียใจสุดๆ ที่ผู้บริหารค่ายเพลง ที่ไม่ทำตามที่เธอตั้งใจเอาไว้ “ไครซาลิสตกอยู่ในความกลัวเพลงพวกดิสโก และจะไม่ปล่อย “Heartbreaker” เป็นซิงเกิล” เบเนทาร์เผยในหนังสืออัตชีวประวัติ และเพลงที่ทางต้นสังกัดเลือกเป็นซิงเกิลแทนก็คือ “I Need a Lover” และ “If You Think You Know How to Love Me” ซึ่งถูกปล่อยเป็นสองซิงเกิลแรก ถึงจะได้รับการเปิดออกอากาศทางวิทยุ แต่ก็ไม่สามารถสร้างผลกระทบอะไรได้ในแง่การตลาด หรือยอดขาย และเมื่อหลังชนฝาเข้าเต็มๆ ต้นสังกัดของเบเนทาร์ก็ตัดสินใจปล่อย “Heartbreaker” เป็นซิงเกิล
และมันก็พิสูจน์ให้เห็นว่าเบเนทาร์คิดถูก เมื่อกลายเป็นซิงเกิลดัง โดยขึ้นไปถึงอันดับที่ 23 ของชาร์ทบิลล์บอร์ด ฮ็อท 100 และยังแสดงให้เห็นถึงความนิยมที่คงทนอีกต่างหาก เมื่อเกาะอยู่ในชาร์ทยาวนานถึง 4 เดือน
หลายทศวรรษต่อมา เบเนทาร์พูดถึงเพลงนี้ว่าเป็นเพลงที่สำคัญที่สุดในชีวิตการทำงานของเธอ “ฉันรัก ‘Heartbreaker’” เบเนทาร์บอกออกมาตรงๆ ในการให้สัมภาษณ์เมื่อปี 2014 “มันยังเป็นงานที่ใช้ได้สำหรับฉัน อารมณ์ของเพลงมันอยู่เหนือกาลเวลา และมันก็ยังเวิร์ค”
ความสำเร็จของ “Heartbreaker” ส่งให้ยอดขายของอัลบัม In the Heat of the Night เดินหน้า ในเดือนมีนาคม 1980 เจ็ดเดือนหลังจากออกวางจำหน่าย งานชุดนี้ก็ไต่ขึ้นไปถึงอันดับที่ 12 ของชาร์ทอัลบัม ซึ่งเป็นจุดสูงสุดที่งานชุดนี้ทำได้ ท้ายที่สุด In the Heat of the Night ขายไปเฉพาะในอเมริกามากกว่าหนึ่งล้านก็อปปี ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ มันส่งให้เบเนทาร์กลายเป็นศิลปินดาวค้างฟ้าอยู่นานนับทศวรรษ
โดย นพปฎล พลศิลป์ เรื่อง เรื่องเล่าชาวร็อค เมื่ออัลบัมแรกของแพ็ท เบเนทาร์ รอดพ้นจากหายนะกลายเป็นประสบความสำเร็จ คอลัมน์ ดนตรีมีเหตุ หนังสือพิมพ์ไทยโพสท์ วันที่ 29-30 สิงหาคม 2562