FEATURESMusic FeaturesMusic Scoop

10 วงดนตรีแยกทางสุดเลือดพล่าน (1)

การตั้งวงดนตรีสักวง มันก็ไม่ต่างไปจากการเอาคนจากไหนก็ไม่รู้มาอยู่ด้วยกัน ในเมื่อพี่น้องท้องเดียวกัน แม่เบ่งตามๆ กันมา ยังเฮไหน เฮนั่นไม่ได้ทุกครั้ง แถมหาเรื่องหาราวกันเองก็บ่อยไป นับประสาอะไรกับคนต่างพ่อ ต่างแม่ ที่ต้องมาอยู่ร่วมกัน ทำงานด้วยกัน แล้วกับศิลปินฝรั่ง บ่อยครั้งที่ต้องออกทัวร์กันยาวนาน ต้องใช้ชีวิตร่วมกันแบบเห็นหน้าตัวเองในกระจกอาจจะน้อยกว่าเพื่อนร่วมวงด้วยซ้ำ พอถึงวันนี้มันก็ต้องถึงขีดสุดของอาการเหม็นเบื่อกันบ้าง

และนี่คือ 10 การแยกทาง แยกวง ของวงดนตรีที่ว่ากันว่า ดุเดือด เลือดพล่านไม่ใช่น้อย

guns-n-roses-breakup01

กันส์ เอ็น โรเซส: เปิดฉากมาก็ต้องเริ่มกันที่วงแอลเอ เมทัล ตำนานจากยุค 90 ที่เรื่องราวการแยกทางของสมาชิกในวงก็เป็นเรื่องระดับตำนาน และ “ตำ” กัน “นานๆ” เหมือนกัน

เมื่อบรรดาขี้ยา กับพวกคลั่งความหรูหรา อลังการงานสร้างมาอยู่ในวงดนตรีเดียวกัน สารพัดเรื่องเส็งเคร็งก็ต้องบังเกิดให้แฟนๆ ได้เห็นไม่ช้าก็เร็ว แล้วในกรณีของกันส์ เอ็น โรเซส เรื่องเส็งเคร็งที่ว่ามันก็มาเร็วราวกับส่งอี-เมล์ พวกเขาดังระเบิด “คับ” วงการด้วยอัลบั้ม Appetite for Destruction ในปี 1987 แต่เพียงเวลาผ่านไปแค่ 3 ปี พวกเขาก็ถีบมือกลอง สตีเวน แอดเลอร์ ออกมาจากวงด้วยข้อหาที่แร๊ง!!! เอาการอย่าง ติดยาเสพติด (ปัญหาคือแล้วไอ้สมาชิกที่เหลือไม่มีใครเล่นยาเลยเหรอ?) วงเดินหน้าต่อ แต่แอ็กเซิ่ล โรส นักร้องนำของวงก็เริ่มสร้างปัญหาให้กับเพื่อนๆ เมื่อทำตัวเป็นคุณชายสายเสมอ พร้อมจะเล่นคอนเสิร์ตโคตรช้า มหาช้า จากที่สองเพื่อนร่วมวง สแลช และดัฟฟ์ แมคเคเกน เล่า มีอยู่หนหนึ่ง เขาปฏิเสธที่จะขึ้นเวที จนกว่าเพื่อนทั้งสองจะยอมเซ็นมอบกรรมสิทธิ์ชื่อวงให้กับเขา (ซึ่งแอ็กเซิ่ลบอกว่า เพื่อนสองคนนี้ เมาท์!!!)

เมื่อการทัวร์สนับสนุนอัลบั้ม Use Your Illusion จบลงในช่วงปลายปี 1993 สมาชิกของวงก็แตกกระสานซ่านเซ็น ทางใครทางมัน และหลังจากนั้นความสัมพันธ์ของสมาชิกชุดดั้งเดิมของวงก็แย่ลงเรื่อยๆ แอ็กเซิ่ลเรียกสแลชว่า “ไอ้มะเร็ง” และไม่ยอมไปร่วมงานหอประกาศเกียรติคุณ ร็อคแอนด์โรลล์ ที่ทางวงได้ถูกจารึกชื่อ เพราะจะต้องไปอยู่ในห้องเดียวกันกับ “อดีต” เพื่อนทั้งหลาย

วงยังไม่แตก แม้เพื่อนๆ จะแยกไปตั้งวงใหม่ วงแล้ว วงเล่า แอ็กเซิ่ลยังออกทัวร์ต่อ โดยมีทีมนักดนตรีชุดใหม่เข้ามา มีอัลบั้มชุดใหม่ที่ทำกันช้ากว่าเวลาแอ็กเซิ่ลขึ้นเวทีมา 1 ชุด แต่สถานการณ์ของวงนั้นต้องร้องเป็นเพลงของเทย์เลอร์ สวิฟท์น่าจะตรงกับที่เกิดขึ้นมากที่สุด “They are never, ever, ever getting back together.”

(อัพเดท: แอ็กเซิล, ดัฟฟ์ และสแลช กลับมาทัวร์ร่วมกันอีกครั้งในปี 2016)

the-everly-brothers-breakup02

ดิ เอเวอร์ลีย์ บราเธอร์ส: กระทั่งพี่-น้องคลานตามกันมาก็ไม่เว้น และอย่างที่เขาว่ากันไว้ ไม่มีใครที่สู้กันด้วยหัวชนฝาเหมือนพี่น้องท้องเดียวกัน นึกถึงการใช้เวลาหลายทศวรรษกับคนสายเลือดเดียวกัน ในฐานะคู่หูทางธุรกิจ และร่วมสร้างสรรค์งานเพลงดู แล้วจะรู้ว่างานนี้ไม่มีใครหนีใครพ้น หลังการออกทัวร์ยาวนาน เมื่อต้องมาอยู่ในบ้านช่วงเทศกาลขอบคุณพระเจ้า เขาก็จะนั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋อ เสนอหน้าอยู่ตรงข้ามคุณในโต๊ะกินข้าวนั่นเอง เมื่อต้องทะเลาะเบาะแว้ง และสารพัดปัญหาบังเกิดขึ้น แม่ก็ต้องโทรไปหาใครสักคนให้หยุด และให้อภัยกันและกัน ซึ่งนั่นจะทำให้สถานการณ์มัน Go So Big

ดิ เอเวอร์ลีย์ บราเธอร์ส ดูเหมือนจะจัดการทุกอย่างร่วมกันเป็นอย่างดีในช่วง 20 ปีแรกของวง แต่สิ่งต่างๆ ก็จบลงเมื่อดอนขึ้นเวทีที่ฮอลลีวู้ดด้วยสภาพเมาแอ๋ในปี 1973 แค่นั้นยังไม่พอ เขายังร้องเพลงด้วยสภาพรั่วๆ มั่วเนื้อร้อง จนฟิลต้องฟาดกีตาร์ไปที่เหนือหัวของเขา แล้วระเบิดอารมณ์ (แน่นอนว่าต้องไม่ใช่อารมณ์ฮา) โกรธออกมา

ครั้งเดียวที่พี่-น้องคู่นี้อ้าปากเจรจาพาทีกันในอีก 1 ทศวรรษต่อมา ก็ที่งานศพของพ่อ ทั้งสองคนตัดสินใจปะผุความสัมพันธ์กันในปี 1983 เพื่อที่จะออกทัวร์รำลึกอดีตที่สร้างรายได้ให้พวกเขาอย่างงาม แต่ความตึงเครียดก็ยังคงอยู่ พวกเขาไม่ได้เล่นร่วมกันอีกเลยนับตั้งแต่การออกทัวร์ยุโรปในช่วงสั้นๆ เมื่อปี 2005

(อัพเดท: ฟิล เอเวอร์ลีย์ เสียชีวิตแล้ว เมื่อปี 2014 ทำให้ทั้งคู่ไม่มีทางกลับมาร่วมงานกันไปตลอดกาล)

oasis-breakup05

โอเอซิส: พี่-น้องกัลลาเกอร์ทะเลาะกันอย่างบ้าคลั่งตั้งแต่วันแรกๆ ของโอเอซิส ปี 2009 ดูเหมือนว่าพวกเขาจะวางความสัมพันธ์เอาไว้ในเรื่องผลประโยชน์เป็นสำคัญ หลังจากออกอัลบั้มใหม่มาทุกๆ 2 หรือ 3 ปี แล้วก็ตระเวณเล่นคอนเสิร์ตไปทั่วยุโรป ให้แฟนๆ ที่ยังจมอยู่กับอดีตอันหวานชื่น แสนมหัศจรรย์ในปี 1995 ที่ในตอนนั้นโนลกับเลียม กัลลาเกอร์ ดูไม่ต่างไปจากจอห์น เลนนอน กับพอล แม็คคาร์ทนีย์ ของโลกดนตรียุคใหม่

ในเดือนสิงหาคม 2009 กับความสัมพันธ์หลังที่เหมือนน้ำเดือดปุดๆ มากว่า 2 ทศวรรษ ที่หลังเวทีในเทศกาลดนตรีหนึ่งในปารีส ทุกอย่างเปลี่ยนไป พี่น้องตัวแสบคู่นี้วางมวยกัน และต้องบอกเลิกการแสดง ไม่นานหลังจากนั้น โอเอซิสก็จบเห่ “มันเป็นทั้งความเสียใจ และความผ่อนคลาย สำหรับการที่ผมจะบอกพวกคุณว่า ผมยุบวงโอเอซิสในคืินนี้” โนล กัลลาเกอร์ เขียนแถลงการณ์สั้นๆ ออกมาหลังยกเลิกการแสดงได้ไม่นาน “หลายๆ คนก็พูดและเขียนในสิ่งที่พวกเขาคิด แต่ผมจะไม่มีทางไปทำงานกับไอ้เลียมอีกแม้แต่วันเดียว” จากปากคำของผู้อยู่ในเหตุการณ์ สองพี่น้องถกเถียงกันดังลั่นอย่างบ้าคลั่งที่หลังเวที ก่อนที่เลียมจะพังกีตาร์ของโนลไปตัวหนึ่ง จากนั้นทั้งคู่ก็รัวกำปั้นใส่กันมั่วไปหมด และทั้งคู่ก็ไม่เคยพูดกันอีกเลยนับตั้งแต่วันนั้น

ปัจจุบันสองพี่น้องต่างก็มีวงของตัวเอง โนลคือ โนล กัลลาเกอร์ ไฮก์ห ฟลายอิ้ง เบิร์ด ส่วนเลียมคือ บีดี อาย

(อัพเดท: วงของเลียม บีดี อาย ยุบวงไปแล้ว)

the-police-breakup03

เดอะ โพลิศ: เดอะ โพลิศตั้งวงกันในปี 1977 โดยมือกลอง สจวร์ท โคปแลนด์ กับครูโรงเรียนประถมชื่อ กอร์ดอน “สติง” ซัมเนอร์ และแอนดี้ ซัมเมอร์ส ในหนึ่งปีต่อจากนั้น พวกเขาคือ ว่าที่สุดยอดซูเปอร์สตาร์ของวงการเพลงร็อค แต่ความตึงเครียดเริ่มขยายตัวขึ้น ขณะที่สติงฉวยโอกาสควบคุมวงไว้ในมือ สมาชิกอีกสองคนรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นแค่ลูกจ้าง และเริ่มโต้ตอบ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น วงก็ประสบความสำเร็จมากขึ้น มากขึ้น

ในหนังสือบันทึกความทรงจำ One Train Later ของซัมเมอร์สเมื่อปี 2006 เขาพูดถึงเรื่องการชกต่อยที่เกิดขึ้นในตอนบันทึกเสียงอัลบั้ม Ghost in the Machine เมื่อปี 1981 “สติงมาเกรี้ยวกราดเอากับผม” เขาเขียนไว้ “เรียกผมด้วยคำแรงๆ ที่เขาคิดได้ทุกชื่อที่มีในโลก ทุกคนถึงกับหน้าซีดเผือด และช็อคไปกันหมด” สติง สรุปปัญหาของวงเอาไว้ในการให้สัมภาษณ์กับนิตยสารโรลลิง สโตนเมื่อปี 2007 “พวกเราไม่ได้มีผลประโยชน์ร่วมกัน” เขาบอก “เราเป็นคนต่างเจเนอเรชั่น ในกรณีของแอนดี้ มันเป็นเรื่องของความสะดวกสบาย อะไรก็ได้ ส่วนที่เป็นปัญหาก็คือ สจวร์ทกับแอนดี้อยากเขียนเพลง มันเป็นเรื่องยากกับการที่ต้องบอกใครสักคนว่ามันไม่ใช่เพลงที่ดี และมันก็เป็นหน้าที่ที่ผมต้องทำเป็นประจำ” สติงจัดการดึงปลั้กออกในปี 1984 หลังจากจบทัวร์ตามสนามกีฬาอันยาวนานเพื่อสนับสนุนอัลบั้มที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของพวกเขา Synchronicity “มันเป็นความตั้งใจของผมเอง ที่จะลงโทษสจวร์ท และแอนดี้ในทางใดก็ทางหนึ่ง” สติง เผย “ผมทำไปตามสัญชาตญาณ”

สงสัยว่าสติงคงเลิกทำโทษสองอดีตเพื่อนร่วมวง เดอะ โพลิศจึงกลับมารวมตัว ออกทัวร์กันอีกครั้งในปี 2007-2008 และมีอัลบั้มบันทึกการแสดงสด Certifiable: Live in Buenos Aires ออกมา โดยในดีวีดีจะมีสารคดีสั้นของจอร์แดน ลูกชายสจวร์ท โคปแลนด์ ที่ชื่อ Better Than Therapy ใส่เข้ามาด้วย สำหรับการกลับมาออกทัวร์ในครั้งนี้ของเดอะ โพลิศ สามารถขายบัตรได้ถึง 3.7 ล้านใบ ทำเงินไปถึง 358 ล้านเหรียญ ซึ่งติดอยู่ในอันดับ 3 ของคอนเสิร์ตที่ทำรายได้มากที่สุดตลอดกาล ถือว่ากำไรของการให้อภัยมีมูลค่าสูงไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว

the-eagles-breakup04

ดิ อีเกิ้ลส์: ในปี 1980 ดิ อีเกิ้ลส์ คือวงดนตรีที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในอเมริกา แต่ความสำเร็จของพวกเขาต้องจ่ายด้วยโชคชะตาอันน่าหวาดหวั่นของวง ดอน เฮนลีย์กับเกลนน์ ฟรายต่างอยู่ในสภาพตึงเครียด และพยายามกุมบังเหียนของวง ส่วนสมาชิกรุ่นก่อตั้งของวงอย่างเบอร์นี ลีดอน และแรนดี้ ไมส์เนอร์ ก็ออกจากวงไปแล้วเรียบร้อย เพราะรู้สึกว่าบรรยากาศในวงสภาวะเป็นพิษ โจ วอลช์ก็เมาจนเป็นปกติ แล้วก็เอาแต่พล่ามถึงเรื่องการที่ตัวเองควบคุมตัวเองไม่อยู่ ส่วนมือเบสคนใหม่ ธิโมธี บี ชมิท ก็เลือกจะตัวเป็นพวกอ่อนน้อม แต่มือกีตาร์ ดอน เฟลเดอร์ก็รับไม่ได้กับการถูกปฏิบัติเหมือนพลเมืองชั้นสอง

ความเครียดปกคลุมไปทั่วตลอดการทัวร์สนับสนุนอัลบั้ม The Long Run ในปี 1979 แต่นั่นก็ยังไม่แย่เท่าในปี 1980 ตอนที่พวกเขาจะขึ้นแสดงในงานการกุศลให้กับวุฒิสมาชิก อลัน แครนสตัน เฟลเดอร์ไม่อยากให้วงมาเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมือง และเมื่อภริยาของท่านวุฒิสมาชิกมาเยี่ยมวงที่หลังเวที เขาก็บอกว่า “ยินดีที่ได้พบ… ผมคิดว่านะ” และประโยคสุดท้ายก็ทำเอาเกลนน์ ฟรายทะลักจุดเดือด ถึงขั้นคุมไม่อยู่ และบนเวทีคืนนั้น ดิ อีเกิ้ลส์ก็ปฏิบัติต่อกันผ่านไมโครโฟน “เพื่อน อีกแค่สามเพลง” ฟราย กล่าว “พร้อมหรือยัง” เขานับเพลงที่ต้องเล่นก่อนที่จะกลับมาที่หลังเวที เฟลเดอร์แยกตัวไปขึ้นรถลีมูซีนก่อนที่จะเกิดการฟาดปากกันขึ้น และนั่นก็คือหนสุดท้ายที่พวกเขาขึ้นแสดงร่วมกัน ก่อนที่จะมารวมตัวกันในอีก 14 ปีให้หลัง เมื่อนรกมันเย็นลงแล้ว ด้วยการออกอัลบั้ม Hell Freezes Over ซึ่งประกอบด้วย ฟราย, เฮนลีย์, วอลช์, เฟลเดอร์ และชมิท แล้วก็ตามด้วยการออกทัวร์

ฟรายบอกเอาไว้ในคอนเสิร์ตแรกของพวกเขาเมื่อเดือนเมษายน 1994 ว่า “บันทึกเอาไว้เลยนะ พวกเราไม่เคยแยกวงกัน เราไปพักร้อนกันแค่ 14 ปีเท่านั้นเอง”

อัลบั้ม Hell Freezes Over ขายได้กว่า 6 ล้านก็อปปี้เฉพาะในอเมริกา พวกเขาออกทัวร์ร่วมกันยาวไปถึงปี 1996 และในปี 1998 ฟราย, เฮนลีย์, เฟลเดอร์, วอลช์, ชมิท และลีดอน กับไมส์เนอร์ ก็เข้าร่วมงานที่ทางวงถูกจารึกชื่อในหอประกาศเกียรติคุณร็อคแอนด์โรลล์

หลังจากนั้นทางวงก็ออกทัวร์อีกหลายครั้ง โดยไม่มีลีดอน กับไมส์เนอร์ และหลังขึ้นแสดงกับวงในวันสิ้นปี 1999 เฟลเดอร์ก็ออกจากวง ตามมาด้วยการฟ้องเรียกค่าเสียหายจากวงถึง 50 ล้านเหรียญ แต่ก็ตกลงกันได้นอกศาลในปี 2007

ขณะที่เพื่อนๆ ก็ร่วมกันทำอัลบั้มชุด Long Road Out of Eden เสร็จออกมาในปีเดียวกัน โดยก่อนหน้านั้นดิ อีเกิ้ลส์ ออกอัลบั้มบันทึกการแสดงสด Farewell 1 มาในปี 2005 สำหรับ Long Road Out of Eden นั้น ดอน เฮนลีย์ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซีเอ็นเอ็นว่า “นี่อาจจะเป็นอัลบั้มของดิ อีเกิ้ลส์ชุดสุดท้ายที่พวกเราทำกัน”

ขณะที่ชมิท ให้สัมภาษณ์ในปี 2010 ถึงเรื่องที่ทางวงจะมีอัลบั้มใหม่หลังจาก Long Road Out of Eden หรือไม่ ว่า “ปฏิกริยาแรกของผมคือ ไม่มีทาง แต่ผมก็พูดเคยเอาไว้แบบนั้นก่อนหน้าอัลบั้มชุดล่าสุด คุณไม่มีทางรู้หรอกว่าอะไรจะเกิดขึ้น อัลบั้มชุดสุดท้ายใช้เวลาทำงานนานมากๆ ต้องใช้เวลากันหลายปี ใช้อะไรหลายๆ ในตัวเรา เราคงต้องใช้เวลาปีหนึ่งเต็มๆ เพื่อทำงานออกมา ผมไม่แน่ใจหรอกนะว่าเราจะทำแบบนั้นกันได้อีกไหม แต่ผมก็ไม่ปิดประตูหรอก”

วอลช์ให้สัมภาษณ์ในปีเดียวกันว่า วงอาจจะมีอัลบั้มออกมาอีกสักชุด แล้วก็ปิดฉากกันซะที

ว่าแต่ว่า คุณพร้อมจะเชื่อวงดนตรีที่กระทั่งคอนเสิร์ตอำลายังมีหมายเลขครั้งต่อท้ายเหรอ

(อัพเดท: เกล็นน์ ฟราย เสียชีวิตแล้วเมื่อต้นปี 2016 ปิดโอกาสการทำงานของดิ อีเกิลส์ ในแบบครบทีมไปเรียบร้อยแล้ว)

(ยังมีต่อ)

จากเรื่อง 10 วงดนตรีแยกทางสุดเลือดพล่าน โดย นายสะเด่าส์ นิตยสาร Hip  ฉบับเดือนมีนาคม 2556

ติดตามอ่านเรื่องราว ข่าวสาร ชมตัวอย่าง ชมคลิป ชม MV อ่านงานวิจารณ์หนัง และเพลง แบบนี้ ได้ด้วยการกดไลค์ Like เพจสะเด่าส์กันไว้ก่อน ได้ที่นี่

 

What is your reaction?

Excited
0
Happy
0
In Love
0
Not Sure
1
Silly
0
Sadaos
พบข่าวสารจากวงการหนัง-เพลง ภาพสวยของดาราสาว, วิจารณ์-แนะนำ งานเพลง, ภาพยนตร์ และรับสั่งซื้อ CD/ DVD ทั้งในและต่างประเทศ. Sadaos Is entertainment news page and online shop for people who love movie and music. We sell many entertainment items like used and new DVD, CD, postcards, accessory, souvenirs.

You may also like

More in:FEATURES

Comments are closed.