WARM BODIES หนังที่เราขอแนะนำประจำอาทิตย์นี้

Warm Bodies สร้างจากนิยายขายดีชื่อเดียวกันของ ไอแซค มาเรียน นักประพันธ์ชาวซีแอตเติล และนี่ก็คือนิยายเปิดตัวเรื่องแรกของเขา ขณะที่ตัวหนังเป็นผลงานการกำกับการแสดงของ โจนาธาน เลอวีน ผู้กำกับจากหนังดราม่า-เบาสมองที่โดนใจใครหลายๆ คน 50/50 และได้นิโคลาส โฮลท์ มารับบท อาร์ ซอมบี้หนุ่มผู้มีความรัก และจูลี เด็กสาวข้างบ้านหน้าตาน่ารัก ที่อาร์หลงรักนั้นได้ เทเรซ่า พาล์เมอร์ มาเล่น

แน่นอนว่าจากชื่อของตัวละคร ก็น่าจะทำให้หลายๆ คนคิดถึง โรมีโอ และจูเลียตได้ไม่ยาก และความรักของทั้งสองคู่ไม่ว่าจะเป็นอาร์กับจูลี หรือว่าโรมีโอกับจูเลียต ต่างก็เป็นความรักต้องห้ามที่มีกำแพงขวางกั้น ที่อาจจะทำให้หลายๆ คนนึกถึงความรักระหว่างมนุษย์กับแวมไพร์ ใน The Twilight Saga แต่ Warm Bodies มีอะไรที่มากกว่านั้น

“เราอยากยึดความเป็นจริงที่เป็นแบบแผนของพวกซอมบี้เอาไว้ แล้วก็สร้างเรื่องราวโรแมนติค ที่น่าสนใจ ให้มีความน่าเชื่อถือ” โจนาธาน เลวีน ผู้กำกับกล่าวถึงหนังรักไม่ธรรมดาของเขา

ศูนย์กลางของหนัง อาร์ ที่รับบทโดยโฮลท์ “เขาคือแบรด พิทท์ สำหรับโลกของซอมบี้เลยละ” เลวีน ยิ้ม นอกจากเทเรซา พาล์เมอร์แล้ว โฮลท์จะได้เล่นประกบกับจอห์น มัลโควิช และเดฟ ฟรังโก้ ซึ่งทุกคนที่ได้ทำงานกับอดีตไอ้หนูจาก About a Boy คนนี้ต่างก็บอกว่า สิ่งที่เขามอบให้กับหนังนั้น “มหัศจรรย์” และ “เขาเล่นเป็นซอมบี้ เพราะฉะนั้นเขาเลยพูดอะไรมากไม่ได้ แต่เขาถ่ายทอดทุกอย่างออกมาได้ด้วยดวงตา” พาล์เมอร์เล่า

แต่ใครจะบอกกล่าวถึงงานที่ทำได้ดี และละเอียดมากไปกว่าเจ้าตัวคงไม่มี

– การได้เล่นเป็นซอมบี้ ที่ต้องรู้สึกเหมือนตัวเองติดอยู่ในกับดัก เปลี่ยวเหงา และเดินเงอะงะ รอบๆ สนามบินที่ถูกทิ้งร้าง ซึ่งเปรียบเสมือนบ้าน แล้วต้องการอะไรมากกว่านั้นจากชีวิต เชื่อได้เลยว่าบทแบบนี้มาไม่บ่อยหรอกจริงไหม? “ใช่ (หัวเราะ) ผมถูกดึงดูดด้วยความท้าทาย และผมก็รักทั้งหนังสือ และบทหนังเรื่องนี้ นี่คือซอมบี้หนุ่มที่ชื่อ อาร์ เขาเหมือนติดอยู่กับความเป็นซอมบี้ของตัวเอง สิ่งที่ทำให้ตัวละครอาร์มีความน่าสนใจก็คือ ความต้องการ และความอยากจะติดต่อกับใคร เขาต้องการติดต่อกับซอมบี้ตัวอื่นๆ ในสนามบิน ถึงแม้ว่าพวกมันไม่มีอะไรที่จะบอกออกมา แถมยังไม่สามารถบอกชื่อของตัวเองได้ด้วยซ้ำ เขาต้องการการสื่อสารกันเพื่อสร้างความมีชีวิตชีวา นั่นคือหนึ่งในสัญชาตญาณที่มีความเป็นมนุษย์เอามากๆ อยากรู้สึกถึงส่วนหนึ่งของบางสิ่งบางอย่าง และติดต่อกับมนุษย์คนอื่นๆ ผมต้องพยายามทำให้คนดูทั้งห่วง ทั้งเอาใจช่วยซอมบี้พวกนี้ นี่เป็นสิ่งที่น่าสนใจมากๆ สำหรับผม ในบทอาร์จะสนุกมาก แล้วก็เป็นพวกที่มีวาทศิลป์ ที่รับรู้ได้จากเสียงบรรยายความคิดของเขา เขาเป็นตัวละครที่มีเสน่ห์ แล้วก็มีอารมณ์ขันไปพร้อมๆ กัน”

– ความท้าทายในการเล่นบทอาร์ก็คือ การแสดงลักษณะการสื่อสารของเขาออกมา ใช่ไหม? “เป๊ะเลย ผมต้องสื่อสารออกมาด้วยการเคลื่อนไหว การใช้ดวงตา และอะไรก็ตามที่เป็นการกระทำ หรือผ่านเทปบันทึกเสียงที่เขาเล่นให้จูลีฟัง การที่ไม่สามารถพูดสิ่งที่คิดออกมาได้ เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นสำหรับผม ทำให้คุณต้องคิดวิธีการที่แตกต่างไปจากที่คนปกติทำกัน กับเสียงบรรยายความคิด บางครั้งที่ปรึกษาในเรื่องบทก็จะช่วยอ่านเสียงบรรยายนั่นระหว่างถ่ายทำ พอผมได้ยินก็จะรู้ว่าตัวละครตั้งใจจะหมายความถึงอะไรในฉากนั้น มันช่วยในเรื่องของจังหวะเวลา สำหรับการเชื่อสิ่งต่างๆ เข้าด้วยกันในฉากนั้น”

– ขณะที่ตัวเรื่องมีลักษณะเฉพาะของตัวเอง แต่ก็ยังมีธีมเรื่องความรักที่มีอุปสรรคมาขวางกั้นด้วย “ถูกต้อง เวลาคุณมองไปถึงเรื่องราวความรักที่ยิ่งใหญ่หลายๆ เรื่อง ที่ยืนหยัดผ่านกาลเวลามาได้ อย่าง Romeo and Juliet มันจะมีเรื่องของความรักทแบบนี้ พวกเขาเป็นคู่รักที่มีอุปสรรคมาขัดขวาง ทั้งคู่ต้องการใช้ชีวิตร่วมกัน แต่สำหรับการหาเหตุผล มันไม่ใช่เรื่องง่าย ความรักที่มีอุปสรรคแบบนี้เป็นพื้นฐานที่ดีสำหรับการเริ่มเรื่องเลย อาร์กับจูลีก็เป็นแบบนั้น ถ้าคุณมองออก”

– ในฉากบุกถล่มแล็บ ที่อาร์กับจูลีเจอกันครั้งแรกนั้น ตอนถ่ายทำเป็นยังไงบ้าง? “นั่นเป็นฉากหนึ่งที่ผมสนุกกับการถ่ายทำมาก มันเป็นแล็บที่พวกซอมบี้บุกเข้าไป แล้วจับตัวพวกเด็กวัยรุ่นที่ออกมาหายาสำหรับไปใช้ในเขตปลอดภัย อาร์สังเกตเห็นจูลีกำลังยิงปืนลูกซอง แต่เขามองเป็นภาพสโลว์-โมชั่น ทันใดนั้นก็ได้ยินเพลง I’ve Got You Under My Skin ของแฟรงค์ ซินาตร้าดังแว่วมาเป็นแบ็คกราวนด์ (หัวเราะ) แล้วในภาพสโลว์-โมชั่น ที่เขาเห็น เทเรซ่า(พาล์มเมอร์ – รับบทจูลี) ยิงปืนได้แม่น ดูเท่ ทันทีที่เห็น อาร์ก็แทบละลาย แต่แล้วเพอร์รี่ แฟนของเธอก็ยิงอาร์

– แล้วคุณก็ยังโดนจอห์น มัลโควิชยิงอีก “(หัวเราะ) ใช่ๆ มีอยู่ฉากหนึ่งที่จอห์นยิงผม แต่มันเจ๋งดีออก เพราะอะไรรู้ไหม ผมคิดไปถึงตอนที่ผมถูกยิงก่อนหน้านี้มาหนหนึ่ง ตอนนั้นคนยิงคือ เคนเน็ธ บรานาหก์ แล้วหนสองเป็นจอห์น มัลโควิช จากนั้นก็เป็นคนที่สาม ผมถูกยิงโดยเดฟ ฟรังโก้ โอ้โห ผมเจอแต่มือปืนเจ๋งๆ ทั้งนั้นเลย (หัวเราะ)”

– หนังซอมบี้ กลายเป็นหนังแนวทางรองแนวหนึ่งไปแล้ว ใน Warm Bodies มีการเล่นมุขว่าคนในยุคนี้ ทำตัวเหมือนเป็นซอมบี้ในฉากย้อนอดีตด้วย “ใช่ อาร์บอกว่าจริงๆ แล้วซอมบี้ก็ใช้ชีวิตไม่ได้ต่างจากที่มนุษย์ที่เราเป็นก่อนหน้านี้ เรามีฉากย้อนอดีต ที่แสดงให้เห็นคนเดินไปในสนามบิน แล้วก็สนใจอยู่แต่กับโทรศัพท์ของตัวเอง หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ไม่มีใครใส่ใจว่ามีอะไรเกิดขึ้นรอบๆ พวกเขา หรือติดต่อสื่อสารกับคนอื่น มีอะไรบางอย่างเคยพูดถึงเรื่องนี้ว่า เป็นลักษณะที่เหมือนกับพวกซอมบี้”

เห็นได้ชัดว่านอกจากเรื่องของความรัก หนังซอม-รอมเรื่องแรกของโลกเรื่องนี้ ก็มาพร้อมกับแง่มุมเสียดสี แดกดันชีวิตของผู้คนบนโลกปัจจุบันนี้ บางที Warm Bodies อาจจะไม่ใช่หนังซอม-รอมเรื่องแรกก็เป็นได้ เพราะถ้ามากันขนาดนี้ มันคงต้องให้นิยามว่าเป็น ซอม-รอม-คอม ดีกว่ามั้ง

จากบางส่วนของเรื่อง เตรียมตัวพบหนังซอม-รอมเรื่องแรกของโลก Warm Bodies หนังซอมบี้ก็มีหัวใจ โดย ฉัตรเกล้า นิตยสารเอนเตอร์เทน ฉบับที่ 1129 ปักษ์แรก กุมภาพันธ์ 2556