FAST & FURIOUS 7: จากหนังรถซิ่งเบๆ ในภาคแรก Fast & Furious ปรับเปลี่ยนตัวเอง แต่งแต้มสีสันมากมายให้กับตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น หนังผิวดำในภาค 2, งานแอ็คชันวัยรุ่นแบบภาค 3 แล้วก็กลายมาเป็นหนังฉก (Heist Film) หรืองานจารกรรมเอาแบบเข้าใจง่ายๆ ตั้งแต่ภาคที่ 4 และมาถึงตอนนี้ เจมส์ วาน จาก Saw, Insidious และ The Conjuring ก็พาหนังชุดนี้ได้ได้ไกลกว่าเดิม
หนังได้หน้าใหม่ เจสัน สเตแธมมาเสริมทีม ในบทของเด็คคาร์ด ชอว์ ที่มาล้างแค้นให้น้องชายโอเวน ชอว์ที่อยู่ในสภาพปางตาย และหนังก็เริ่มต้นด้วยการเปิดตัวตัวละครตัวนี้ ที่ทำได้อย่างเวอร์วังอลังการ ราวกับเป็นการเกริ่นนำถึงสิ่งที่จะได้เจอในหนังเรื่องนี้ ก่อนที่จะเผยความแสบของตัวละครตัวให้เห็นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ที่น่าสนใจก็คือ วาน นำเสนอฉากแอ็คชันบนจอได้สนุกกว่าที่จัสติน ลินทำเอาไว้อย่างเห็นได้ชัด แม้จะยาวไม่ต่างกัน แต่ก็มีความหลากหลาย มีสถานการณ์ให้ได้ติดตามควบคู่กันไปมากกว่าที่เห็นอยู่ตรงหน้า มีทั้งฉากซิ่งรถ กับฉากแอ็คชันยิงกระหน่ำ รัวหมัดสลับกันไปมา
ที่นอกจากความหลากหลาย ก็ยังไม่ทำให้น่าเบื่อหรือรู้สึกหนืดยืดยาวเกินความจำเป็น
รวมทั้งยังใส่อารมณ์ขัน อารมณ์ความรู้สึกที่มีแกนกลางอยู่ที่ความสัมพันธ์ ความผูกพันของตัวละครเข้ามา แม้จะเยอะขึ้น มากกว่าเดิม แต่ก็ออกมาลงตัว มีจังหวะจะโคน และพอเหมาะพอเจาะ โดยเฉพาะการหยอดเข้ามาในฉากแอ็คชันได้อย่างกลมกลืน และตัวเรื่องก็ไปไกลถึงหนังแบบสายลับ
ฉากบู๊อาจจะวินาศสันตะโรในแบบที่ทำลายเมือง ถล่มตึก และตัวละครเป็นซูเปอร์ฮีโร กับซูเปอร์วิลเลียน ได้พอๆ กับที่ได้เห็นในหนังอย่าง Avengers แต่ในมุมหนึ่ง กับคนที่ตามกันมาถึงตอนนี้ อาการเจ็บไข้ ได้ป่วยของตัวละครก็คงไม่ใช่เรื่องที่ต้องใส่ใจ มากไปกว่าความสะใจ และวานก็ให้ได้มากกว่าที่เห็นในตัวอย่างเป็นร้อยๆ เท่า ทั้งความยาว และความระเบิดระเบ้อ
และกับบทบาทของนักแสดงไทยในหนังบล็อคบัสเตอร์ของฮอลลีวูด โทนี จา ไม่มีอะไรต้องอาย แม้บทจะไม่มาก แต่ความโดดเด่นก็ไม่ได้น้อยไปกว่า ไจมอน ฮอนชู เลยแม้แต่น้อย
จากที่เคยสงสัยว่า ผู้กำกับอย่างเจมส์ วาน ที่มือเต็มไปด้วยเครดิตจากหนังสยองขวัญ จะทำหนังแอ็คชันบล็อคบัสเตอร์เรื่องแรกออกมาได้ดีขนาดไหน คำตอบคือ คนที่เป็นแฟนบอยของหนังเรื่องนี้อย่าง จัสติน ลิน ที่วางโครงเรื่องใหม่ให้กับหนังยังต้องอายในส่วนของการเล่าเรื่อง
ไม่แน่ใจว่าการจากไปของพอล วอล์คเกอร์ ส่งผลกับตัวเรื่องมากน้อยขนาดไหน แต่โทนของหนัง บรรยากาศที่ได้สัมผัส เต็มไปด้วยความรู้สึกถึงการจากลาตั้งแต่ต้น ไม่ว่าจะด้วยการจากไปของฮาน หรือคำสัญญาถึงงานศพของคนในครอบครัวที่ไม่มีใครอยากไป หรือการที่ต้องให้ชีวิตกับครอบครัว ทำให้ทุกนาทีที่ปรากฏบนจอของพอล วอล์คเกอร์ เหมือนกับเป็นการเอ่ยหน้ามาทักทาย และอยู่ร่วมกันกับตัวละครทุกคน รวมไปถึงคนดูจนถึงแสงสุดท้าย ปิดฉากด้วยความซาบซึ้ง ประทับใจ ชนิดไม่อายที่จะเสียน้ำตาให้หนังแอ็คชัน บ้านๆ แมนๆ ที่ดูบ้าๆ บอๆ หาสาระไม่ได้สักเรื่องหนึ่ง
ต่อให้ไม่ใช่หนังเรื่องสุดท้ายที่เล่นเอาไว้ แต่ก็คงไม่มีเรื่องไหนที่ทำให้การอำลาของพอล วอล์คเกอร์สมบูรณ์แบบ และงดงามได้เท่าที่เห็นในหนังเรื่องนี้ ที่ไม่ได้เป็นแค่หนังเพื่อความบันเทิงของผู้ชมที่ทำได้สมราคา Fast & Furious 7 ราวกับเป็นงานทริบิวท์ และทำให้พอล วอล์คเกอร์ ฝังอยู่ในใจแฟนหนังเรื่องนี้ไปตลอดกาล
ซึ่งนั่นไม่ใช่เหตุผลเดียวที่ทำให้หนังเรื่องนี้เป็น BEST ‘Fast and Furious’ EVER!!!! อย่างแน่นอน
โดย นพปฎล พลศิลป์
กดไลค์ Like ติดตามเพจสะเด่าส์ ได้ที่นี่