FEATURESMovie Features

ย้อนอดีตความสำเร็จของคริสโตเฟอร์ โนแลน จาก Memento ถึง Dunkirk (ตอนจบ)

จากเป็นหนึ่งในหนังบล็อคบัสเตอร์ประจำซัมเมอร์นี้ แต่เมื่อเกิดการระบาดของโคโรนาไวรัส จนโรงภาพยนตร์ต้องปิดให้บริการ หนังหลายๆ เรื่องเลื่อนฉาย Tenet หนังใหม่ของคริสโตเฟอร์ โนแลน กลายเป็นบางอย่างที่มากกว่านั้น เพราะนี่คือหนังบล็อคบัสเตอร์ สำหรับฤดูฉายซัมเมอร์นี้เรื่องแรก ที่เปิดตัวฉายหลังโลกเจอการคุกคามของไวรัส ที่นอกจากจะมาพร้อมกับแผนการจัดจำหน่าย ที่เปิดตัวในต่างประเทศก่อนตั้งแต่วันที่ 26 สิงหาคม ซึ่งเริ่มที่ ออสเตรเลีย, แคนาดา, ฝรั่งเศส, เยอรมัน, อิตาลี, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, รัสเซีย และสหราชอาณาจักร ตามด้วยพื้นที่อื่นๆ ของโลก แล้วก็มาเปิดตัวในสหรัฐอเมริกาวันที่ 3 กันยายน เฉพาะโรงภาพยนตร์ในรัฐที่มีการระบาดหรือมีความเสี่ยงต่ำ

 

Tenet คือความหวังสำหรับการดึงผู้ชมกลับมารับความบันเทิงในโรงภาพยนตร์

ซึ่งชอว์น ร็อบบินส์ จากเว็บไซท์ BoxOffice.com ได้มองย้อนความเป็นมาของคริสโตเฟอร์ โนแลน ตั้งแต่การเป็นผู้กำกับรุ่นใหม่ที่น่าจับตามอง มาถึงการเป็นผู้กำกับคนสำคัญในอุตสาหกรรมภาพยนตร์โลกของทุกวันนี้ และนี่คือเรื่องราวที่สืบเนื่องจากฉบับที่แล้ว ซึ่งจบลงตรงที่ Inception ที่สร้างขึ้นและออกฉายหลังความสำเร็จของ The Dark Knight และประสบความสำเร็จอย่างงดงาม

โนแลนพักการทำงานระหว่างหนังสองเรื่องไปสองปี ก่อนจะกลับมาปิดฉากไตรภาค Dark Knight ด้วย The Dark Knight Rises ที่การรอคอยเพิ่มสูงขึ้นราวกับอาการไข้นับตั้งแต่วันที่ The Dark Knight ทำให้ผู้ชมทึ่งไปกับฉากไคลแม็กซ์ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวมากมาย แต่โนแลนก็ไม่เคยตอบรับการตอกตะปูตัวสุดท้ายให้กับหนังชุด Batman จนกระทั่ง Inception ออกฉาย

อีกครั้งที่เรื่องราวที่เป็นภาคต่อ มาพร้อมการเป็นงานรวมทีมนักแสดง ซึ่งมีทั้ง แอนน์ แฮธาเวย์, ทอม ฮาร์ดี และโจเซฟ กอร์ดอน-ลิวอิทท์ โดยธรรมชาติของตัวมันเอง The Dark Knight Rises คือหนึ่งในหนังภาคต่อที่เต็มไปด้วยความคาดหวังมหาศาลตลอดกาล ทั้งจากแฟนตัวจริงและแฟนขาจร ที่มีข้อกังขาว่า โนแลนจะสรุปเรื่องราวไตรภาคของตัวเองอย่างไร โดยเฉพาะเมื่อไม่มีโจเกอร์ของฮีธ เล็ดเจอร์ กระแสของหนังมาแรงตั้งแต่การปล่อยตัวอย่างฉบับยั่วน้ำลายไปกับหนัง Harry Potter เรื่องสุดท้ายในช่วงซัมเมอร์ 2011 หนึ่งปีก่อนที่จะออกฉาย ตามด้วยฉากเกริ่นนำในไอแมกซ์ตอนเดือนธันวาคม ปะหัว Mission: Impossible – Ghost Protocol ด้วยฉากจี้เครื่องบิน ที่เป็นการแนะนำตัวละครเบนของฮาร์ดี

The Dark Knight Rises เปิดตัวด้วยตัวเลขระดับ 160.9 ล้านเหรียญ ในเดือนกรกฎาคม 2012 เป็นหนังรายได้เปิดตัวมากเป็นอันดับสามตลอดกาลในตอนนั้น เป็นรองก็แค่ Harry Potter ตอนจบเมื่อปีก่อนหน้า ที่ทำไว้ 169.2 ล้านเหรียญ และ Marvel’s Avengers ที่มาสร้างประวัติศาสตร์ด้วยรายได้เปิดตัวสูงสุดเมื่อสองเดือนก่อนหน้า ด้วยรายได้ 207.4 ล้านเหรียญ แต่ The Dark Knight Rises เป็นเจ้าของสถิติหนังที่ไม่ใช่งานสามมิติ ที่เปิดตัวสูงที่สุด ซึ่งในตอนนั้นเป็นรูปแบบการฉายที่ทำกำไรได้อย่างงดงามให้อุตสาหกรรมภาพยนตร์ตอนต้นยุค 2010s ซึ่งต้องขอบคุณค่าตั๋วที่เพิ่มขึ้นและการที่ดึงคนดูเด็กๆ ได้ดี

หนังบรูซ เวย์นของโนแลนยังจบลงได้อย่างสวยงาม ทั้งในแง่ของคำวิจารณ์และรายได้ ถึงแม้ว่าพลังของหนังจะไม่ได้แข็งแรงมากเท่ากับหนังเรื่องก่อนหน้า แต่ก็มากพอที่จะทำเงินในอเมริกาและทวีปอเมริกาเหนือ 448.1 ล้านเหรียญ โดยทำรายได้รวมทั่วโลกถึง 1.08 พันล้านเหรียญ

แล้วก็ต้องกาดอกจันกำกับตัวเลขรายได้ด้วยว่า ในสุดสัปดาห์เปิดตัวของหนัง โดยเฉพาะในตลาดอเมริกา ที่ว่ากันตั้งแต่รอบมิดไนท์ซึ่งทำเงินไป 30.6 ล้านเหรียญ มากเป็นอันดับสองรองจากหนัง Harry Potter เรื่องสุดท้ายในตอนนั้น โชคไม่ดีที่หนังต้องเจอเหตุไม่คาดคิด เมื่อเกิดเหตุกราดยิงในโรงภาพยนตร์ที่ออโรรา, โคโลราโด ที่นอกจากจะเป็นเหตุการณ์สะเทือนขวัญ ยังส่งผลต่อรายได้ของหนังเช่นกัน

บรรดาผู้ชมที่กระหายอยากชมหนังเรื่องอื่นๆ ที่เหลือในช่วงซัมเมอร์ อยู่ในความหวาดกลัวว่าจะเกิดการเลียนแบบขึ้นมา ขณะที่การรักษาความปลอดภัยในโรงก็ถูกยกระดับให้สูงขึ้น ท้ายที่สุด The Dark Knight Rises กลายเป็นหนังระดับบิกของสตูดิโอเรื่องสุดท้าย ที่เปิดตัวฉายรอบมิดไนท์เช่นที่เคยทำกัน ขณะที่สตูดิโอและโรงภาพยนตร์เลื่อนไปเปิดหนังระดับนี้ตั้งแต่รอบค่ำวันพฤหัสบดี กันอยู่นานหลายเดือน และในหลายๆ ปีต่อมา เพื่อตอบสนองกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ The Dark Knight Rises

ในอันดับหนังทำเงิน The Dark Knight Rises เป็นรองเพียง Avengers (623.3 ล้านเหรียญ) ในตลาดอเมริกา และเป็นอันดับสามต่อจากหนังเรื่องเดียวกันที่ทำรายได้ไป 1.5 พันล้านเหรียญ กับ Skyfall ที่เงินถึง 1.11 พันล้านเหรียญทั่วโลกในปี 2012 รวมทั้งรั้งอันดับ 9 ของอันดับหนังทำเงินทั่วโลกตลอดกาลในปีที่ออกฉาย

– การเริ่มต้นของยุคหลัง Batman
เมื่อ Dark Knight ไตรภาคจบลง โนแลนเริ่มมองถึงโปรเจ็คท์ในอนาคตที่เป็นงานของตัวเอง ถึงแม้ว่าเขายังมีส่วนร่วมในการสร้างจักรวาลดีซีช่วงแรกๆ ด้วยการช่วยวอร์เนอร์ฯ ขัดเกลาแซ็ค สไนเดอร์ ที่เข้ามารีบูทหนััง Superman ด้วยการกำกับ Man of Steel ในปี 2013 ที่ตัวผลงานในท้ายที่สุด รวมถึงหนังในจักรวาลดีซีที่ออกตามมา แตกต่างจากสัมผัสที่โนแลนมอบให้กับงานของตัวเอง แต่ก็เห็นได้ชัดว่าสตูดิโอพยายามสร้าง Superman และเรื่องราวต่อๆ มา ด้วยการนำสิ่งต่างๆ มาจากหนัง Batman ของเขา

ท้ายที่สุดโนแลนได้เครดิทในฐานะเจ้าของเรื่องและผู้อำนวยการสร้าง Man of Steel ตามด้วยเป็นผู้อำนวยการสร้าง Batman v Superman: Dawn of Justice ในปี 2016 และ Justice League ในปี 2017 ซึ่งระหว่างนั้นก็ยังมีหนังเรื่อง Transcendence ในปี 2014 อีกเรื่องที่เขาเป็นผู้อำนวยการสร้าง โดยเป็นผลงานการกำกับของวอลลี ฟิสเตอร์ ที่ทำงานกำกับภาพร่วมกับโนแลนมายาวนาน

งานกำกับเรื่องต่อไปของโนแลน ถ้าจะให้พูดกันตรงๆ จริงๆ แล้วเป็นงานอีกชิ้นที่เรียกได้ว่าเป็นมรดกตกทอด โจนาธาน น้องชายของเขาพัฒนาเรื่องในแบบนิยายวิทยาศาสตร์ขึ้นมา เพื่อให้สตีเวน สปีลเบิร์กกำกับ แต่ในเวลาต่อมาหลังจากนั้นกลับตัดสินใจที่จะไม่เดินหน้าต่อ คริสโตเฟอร์เลยอาสามาจับงานและช่วยแก้เรื่องร่วมกับน้องชาย ซึ่งเป็นงานที่ได้เห็นโนแลนกระโดดจากการทำหนังซัมเมอร์เป็นครั้งแรก เมื่อหนังเปิดตัวในเดือนพฤศจิกายน 2014 และยังเป็นการจับคู่ทำงานกับฮอยท์ ฟาน ฮอยเทมา ผู้กำกับภาพคนใหม่เป็นเรื่องแรก

หลังปล่อยทีเซอร์ให้ชมล่วงหน้ากันถึง 1 ปี Interstellar ถูกวางไว้ว่าเป็นหนัง ‘ต้องดู’ เรื่องต่อไปของ ‘ผู้กำกับ The Dark Knight Trilogy และ Inception’ ซึ่งเป็นกลยุทธสร้างกระแสที่บางสตูดิโอหรือคนทำหนังบางรายเท่านั้น สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการประชาสัมพันธ์ได้อย่างสมเหตุสมผล แต่ยังมีอีกองค์ประกอบหนึ่งที่ช่วยสร้างเสียงฮือฮาให้กับหนังต้นฉบับ (Original) เรื่องแรกของโนแลนในรอบหลายปี เมื่อเป็นหนังรวมดาวนักแสดงระดับยอดฝีมือที่แข็งแรง และไม่มีใครที่ทำให้ผิดหวัง ไม่ว่าจะเป็น แม็ทธิว แม็คคอนาเฮย์ กับบทนำเรื่องแรกหลังจากได้รางวัลออสการ์จาก Dallas Buyers Club รวมไปถึงเป็นงานของแอนน์ แฮธาเวย์ หลังได้รางวัลออสการ์ แล้วยังมีเจสสิกา แชสเทนอีกคน

หนังทำรายได้ถึง 47.5 ล้านเหรียญในสุดสัปดาห์เปิดตัว โดยไม่รวมรายได้เปิดตัวในโรงไอแม็กซ์ 2.15 ล้านเหรียญในวันพุธ เป็นหนังที่ประสบความสำเร็จอีกเรื่องโดยไม่ได้พึ่งพาสมบัติเก่าๆ หรือว่ายี่ห้อเดิมๆ แต่เป็นเรื่องของคอนเส็ปท์และความสามารถที่อยู่ทั้งหลังกล้องและหน้ากล้อง แต่นักวิจารณ์ดูเหมือนจะไม่ปลื้มหนังอย่างที่เคยเป็นกับหนังเรื่องก่อนๆ ของโนแลน ทำให้หนังได้ค่าความสดบนเว็บมะเขือเน่าแค่ 72%

แต่ที่ไม่แตกต่างไปจากที่เคยเป็น ผู้ชมที่เดินทางไปกับโนแลน ยังคงแสดงความเห็นถกเถียงกันต่อหลังจากได้ชม Interstellar ได้คะแนนจากผู้ชมถึง 85% บนเว็บวิจารณ์หนัง ก่อนจะเดินออกจากโรงฉายหลังหมดช่วงวันหยุดสำคัญๆ ด้วยรายได้ในสหรัฐอเมริกาและอเมริกาเหนือ 188 ล้านเหรียญ และ 677.5 ล้านเหรียญทั่วโลก โดยใช้ทุนสร้าง 165 ล้านเหรียญ ถึงตอนนี้ Interstellar เป็นหนังต้นฉบับของโนแลน ที่ทำเงินอันดับสองเป็นรองเพียง Inception

ในตารางอันดับหนังทำเงินประจำปี Interstellar อยู่ในอันดับที่ 16 สำหรับรายได้ในอเมริกาและทวีปอเมริกาเหนือ และเป็นหนังที่ไม่ใช่ภาคต่อทำเงินอันดับ 3 ของปี ต่อจาก American Sniper ที่ทำเงิน 350.1 ล้านเหรียญ และ Big Hero 6 ที่ทำรายได้ 222.5 ล้านเหรียญ สำหรับอันดับหนังทำเงินทั่วโลก Interstellar อยู่ในอันดับ 10 แต่เป็นหนังต้นฉบับที่ทำเงินทั่วโลกอันดับ 1 ของปี 2014 และเข้าชิงรางวัลออสการ์ 5 สาขา ซึ่งหนึ่งในจำนวนนั้นก็คือ ดนตรีประกอบของฮานส์ ซิมเมอร์ แต่ได้มาแค่รางวัลเดียวจากเทคนิคพิเศษด้านภาพ

หลังพักการทำงานสำหรับฤดูฉายซัมเมอร์ไปครึ่งทศวรรษ ในปี 2017 เราก็ได้เห็นโนแลนกลับมาสู่กำหนดฉายในเดือนกรกฎาคมอีกครั้งด้วย Dunkirk ซึ่งเต็มไปด้วยความเสี่ยงมากมายในการทำงานของโนแลน ถึงแม้หลายๆ คนจะแย้งว่า Dunkirk เป็นหนึ่งในงานที่น่าสนใจที่สุดก็ตาม

ถึงเป็นที่ยอมรับกันว่า โนแลนในยามนี้มียี่ห้อของตัวเองไปแล้วเรียบร้อย แต่เขาก็ยังพยายามขยับขอบเขตการเล่าเรื่องของตัวเองออกไปอีกครั้ง โดยหนนี้เป็นการทำหนังสงคราม ที่ยังเป็นการทำหนังทุนสูง และเต็มไปด้วยนักแสดงที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก เครื่องจักรทางการตลาดเริ่มต้นตามคิวที่วางแผนกันไว้ ด้วยการปล่อยตัวอย่างฉบับการประกาศออกมาล่วงหน้าหนึ่งปีก่อนออกฉาย และใส่ฉากแนะนำสำหรับโรงไอแม็กซ์ปะหัวหนัง Rogue One: A Star Wars Story ในเดือนธันวาคม 2016 ซึ่งเป็นหนึ่งในหนังทำเงินสูงสุดในอเมริกาของปีนั้น

แม้จะไม่มีนักแสดงอย่างดิคาพรีโอ, เบล หรือแม็คคอนาเฮย์มานำ แต่ Dunkirk ก็เป็นหนังฮิทตั้งแต่ออกตัว เมื่อเทียบกับรายได้เปิดตัวของ Interstellar และ Inception โดยทำรายได้เปิดตัวในอเมริกาและทวีปอเมริกาเหนือได้ถึง 50.5 ล้านเหรียญ สามารถครองอันดับ 1 ได้ถึงสองสัปดาห์ และอยู่ในท็อปเทนได้นานถึง 9 สัปดาห์ ทั้งๆ ที่ต้องเจอกับหนังแข็งๆ ที่เป้าหมายอยู่ที่ผู้ชมกลุ่มเดียวกันในช่วงที่มีหนังมากมายของฤดูฉายซัมเมอร์

เมื่อสิ้นสุดการฉาย Dunkirk ปิดโปรแกรมด้วยรายได้ในอเมริกาและอเมริกาเหนือ 188.1 ล้านเหรียญ และ 525.3 ล้านเหรียญทั่วโลก ถึงจะเป็นหนังทำเงินในระดับหนึ่ง และอยู่ในอันดับ 14 และ 19 ของอันดับหนังทำเงินประจำปี 2017 แต่อย่าลืมว่า หนังมหากาพย์ที่เล่าเรื่องราวในประวัติศาสตร์เรื่องนี้ ต้องเจอกับคู่แข่งที่เป็นหนังภาคต่อและหนังที่มีดาราขับเคลื่อนมากมาย ที่น่าสนใจก็คือ ท่ามกลางภาพยนตร์ต้นฉบับเรื่องต่างๆ Dunkirk เป็นหนังรายได้เปิดตัวเป็นอันดับสองของปีแพ้แค่ Coco ที่ทำรายได้ 50.8 ล้านเหรียญ เป็นหนังทำเงินในตลาดอเมริกาอันดับสองของปี แพ้ Coco ที่ทำเงินไป 209.7 ล้านเหรียญ อีกครั้ง และเป็นหนังทำเงินทั่วโลกอันดับสามของปี ที่มี Coco อยู่ในอันดับ 1 ด้วยรายได้ 807 ล้านเหรียญ และ The Boss Baby เฉือน Dunkirk เข้าวินเป็นที่สองด้วยตัวเลข 528 ล้านเหรียญ

นอกตารางอันดับหนังทำเงิน Dunkirk เป็นอีกหนึ่งหนังเรื่องสำคัญบนเวทีรางวัลของโนแลน โดยเข้าชิงรางวัลออสการ์ถึง 8 รางวัล ซึ่งก็รวมรางวัลหลักๆ อย่าง หนังยอดเยี่ยม, ผู้กำกับยอดเยี่ยมซึ่งเป็นครั้งแรกของโนแลน และงานกำกับภาพของฮอยเทมา โดยได้มาสามรางวัล ซึ่งเป็นอีกครั้งที่เป็นรางวัลด้านเทคนิค

– Tenet และต่อจากนี้
ปีนี้ แม้ผลงานของโนแลนจะไม่ได้พบกับผู้ชมในเดือนกรกฎาคมอย่างที่เคย เมื่อหนังต้องเลื่อนกำหนดฉายจากช่วงเวลาประจำมาเป็นปลายเดือนสิงหาคม แต่อย่างน้อยก็ยังมีเครื่องรางประจำหนังอย่าง ไมเคิล เคน

ไม่ว่าจะถูกมองว่าเป็นเรื่องความเชื่อ หรือว่าเป็นแค่การอ้างอิงแบบขำๆ แต่ความต่อเนื่องก็เป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญที่อยู่ในงานของโนแลน และสิ่งที่เห็นก็คือ เขาร่วมงานกับเคนและเคนเน็ธ บรานาก์หจาก Dunkirk อีกครั้งใน Tenet ส่วนฮอยเทมาก็กลับมาทำงานกำกับภาพ แต่โนแลนก็ไม่ได้กลัวการเปลี่ยนแปลง เมื่อลุดวิก โกแรนส์สันจาก Black Panther มือทำดนตรีเจ้าของรางวัลออสการ์ จะเข้ามารับงานดนตรีประกอบ ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญอย่างยิ่งในหนังของโนแลน ทำให้ Tenet เป็นหนังเรื่องแรกนับตั้งแต่ The Prestige ที่โนแลนไม่ได้ทำงานร่วมกับซิมเมอร์ ที่ยุ่งอยู่กับการทำสกอร์ให้กับหนังเรื่อง Dune ช่วงเดียวกับที่ Tenet อยู่ในขั้นตอนการทำงานหลังการถ่ายทำ

หลังเปลี่ยนวันฉายอยู่หลายครั้งจาก 17 กรกฎาคม มาเป็น 31 กรกฎาคม แล้วก็เป็น 12 สิงหาคม ซึ่งมีรายงานว่า ทำให้วอร์เนอร์ฯ ต้องสูญเงินทำการตลาดไปราวๆ 200,000 – 400,000 เหรียญ ในที่สุด Tenet ก็ได้เปิดตัวฉายในวันที่ 26 สิงหาคม ใน 7 ประเทศได้แก่ แคนาดา, ฝรั่งเศส, เยอรมัน, อิตาลี, ญี่ปุ่น, เกาหลี, รัสเซีย และสหราชอาณาจักร โดยมีการเปิดฉายรอบพรีวิวในออสเตรเลียไปตั้งแต่วันที่ 22-23 สิงหาคม ก่อนเปิดฉายวงกว้างวันที่ 27 สิงหาคม ที่จะเปิดตัวพร้อมกันทั่วโลกในอีกหลายๆ ประเทศ แต่สหรัฐอเมริกากว่าหนังจะเปิดตัวฉายก็ในวันที่ 3 กันยายน ในบางเมือง และค่อยๆ เพิ่มโรงไปเรื่อยๆ ในสัปดาห์ต่อไป โดยมีกำหนดเปิดตัวในจีนวันที่ 4 กันยายน

ซึ่งความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นของกำหนดการฉาย ที่เป็นไปเพราะสถานการณ์ต่างๆ ยังไม่เอื้ออำนวย ทำให้หนังอยู่ในสภาพคลุมเครืออยู่พักใหญ่ และทำให้แฟนๆ รวมไปถึงโนแลนต้องผิดหวัง รวมไปถึงทำให้ผู้คนใช้เวลารอคอยการได้ชมภาพยนตร์เรื่องใหม่ของเขานานขึ้น แต่เมื่อถึงเวลาจริงๆ ทุกคนก็พร้อมเดินทางไปที่โรงภาพยนตร์ เพื่อรับประสบการณ์ในการชมภาพยนตร์ที่ยากสัมผัสได้จากเรื่องไหนๆ

เจ้าของผลงานที่เป็นหนึ่งในพลังสร้างสรรค์สำคัญของฮอลลีวูด เจ้าของโปรเจ็คท์ที่ได้ชื่อว่าเป็นส่วนสำคัญของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ทั้งในอดีต, ปัจจุบัน และอนาคต มาโดยตลอด

โดย ลุงทอย เรื่อง ย้อนอดีตความสำเร็จของคริสโตเฟอร์ โนแลน จาก Memento ถึง Dunkirk (ตอนจบ) คอลัมน์ Special Scoop นิตยสารเอนเตอร์เทน ฉบับที่ 1311 ปักษ์แรก กันยายน 2563

What is your reaction?

Excited
0
Happy
0
In Love
0
Not Sure
0
Silly
0
Sadaos
พบข่าวสารจากวงการหนัง-เพลง ภาพสวยของดาราสาว, วิจารณ์-แนะนำ งานเพลง, ภาพยนตร์ และรับสั่งซื้อ CD/ DVD ทั้งในและต่างประเทศ. Sadaos Is entertainment news page and online shop for people who love movie and music. We sell many entertainment items like used and new DVD, CD, postcards, accessory, souvenirs.

You may also like

More in:FEATURES

Comments are closed.