FEATURESMovie Features

เปิดบันทึกเรื่องจริง จากเหตุการณ์สะเทือนขวัญของหนัง Foxcatcher

(หมายเหตุ: บทความนี้ สปอยล์โคตรๆ): Foxcatcher เป็นภาพยนตร์อีกเรื่องหนึ่งที่มีที่มาจากเรื่องจริง ซึ่งเป็นคดีฆาตกรรมที่น่าเศร้า เกี่ยวข้องกับมหาเศรษฐีจอห์น ดู ปองท์ กับนักมวยปล้ำเหรียญทองโอลิมปิคของสหรัฐอเมริกา สองพี่น้อง-เดวิดและมาร์ค ชูลท์ซ โดยในเวลาต่อมา มาร์คได้เขียนหนังสือบอกเล่าเรื่องราวของเหตุการณ์นี้ขึ้น และกลายเป็นแรงบันดาลใจสำหรับเรื่องราวในหนัง Foxcatcher โดยในภาพยนตร์ ดู ปองท์ รับบทโดยสตีฟ คาร์เรลล์, มาร์ค รัฟฟาโลเล่นเป็นเดฟ ชูลท์ซ ส่วนมาร์คน้องชายได้แชนนิง ทาทัมมารับบท ซึ่งทั้งสามคนต่างทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดี ขณะที่เรื่องราวของหนังก็เข้มข้น และวันนี้เราจะมาดูความจริงของเรื่องราวทั้งหมดกันว่า เหมือน, แตกต่าง กับบนจอภาพยนตร์ยังไง

foxcatcher du pontเริ่มกันที่ตัวมหาเศรษฐี จอห์น ดู ปองท์ หนึ่งในสมาชิกของตระกูลดู ปองท์ ซึ่งเป็นตระกูลสำคัญตระกูลหนึ่งของสหรัฐ อเมริกา ที่มีทรัพย์สินอยู่ในครอบครองมากถึง 250 ล้านเหรียญ โดยเป็นมรดกตกทอดมาจากธุรกิจเคมีภัณฑ์ของครอบครัว ซึ่งเริ่มจากการที่ปู่ทวดของเขา อี.ไอ. ดู ปองท์ เป็นคนทำดินปืนให้กองทัพในปี 1802 ก่อนจะพัฒนามาเรื่อยๆ และกลายเป็นหนึ่งในบริษัทเคมีภัณฑ์ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก จากผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่สร้างสรรค์ขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็น ไนลอน,ผ้าทอใยสังเคราะห์ และ ยางเทียม

ด้วยความเป็นผู้สร้างและใจบุญ ดู ปองท์ตัดสินใจสร้างศูนย์ฝึกมวยปล้ำที่ชื่อ ฟ็อกซ์แคทเชอร์ ฟาร์ม (ซึ่งกลายมาเป็นชื่อหนัง) ในพื้นที่บ้านของครอบครัว ในเพ็นน์ซิลวาเนีย ซึ่งพ่อและแม่ได้เป็นของขวัญแต่งงานจากปู่ – วิลเลียม ไลส์เตอร์ ออสติน เพื่อให้นักมวยปล้ำที่มีความหวังในกีฬาโอลิมปิคมาฝึกซ้อม

05 steve carrell - John du Pontโดยดู ปองท์หมกมุ่นอยู่กับเรื่องการมีส่วนร่วมกับกีฬาโอลิมปิค ในรูปแบบใดก็ได้เท่าที่สภาพร่างกายของเขาจะเอื้ออำนวยมานาน ตัวเขาเองนั้นอยากเข้าแข่งขันกีฬาโอลิมปิคที่ เม็กซิโกเมื่อปี 1986 เพราะมีคนบอกว่า เขายิงปืนเป็น น่าจะเป็นโอกาสที่ดี ที่ทำให้เขาเข้าร่วมทีมโอลิมปิคได้ ดู ปองท์สร้างสนามยิงปืน และสระว่ายน้ำระดับมาตรฐานโอลิมปิคขึ้นในพื้นที่ของตัวเอง เพื่อทำการฝึก เขาถึงขั้นสั่งโมเสคจากอิตาลีมาบริจาคเพื่อทำให้ได้เข้าแข่งคัดเลือกในทุกรายการ แม้จะทุ่มอย่างหนัก แต่เขาก็ทำได้ดีที่สุดแค่ที่สองจากท้ายในการคัดตัวเพื่อเข้าทีมโอลิมปิคในปีนั้น

เมื่อความตั้งใจจะเป็นนักกีฬาไม่สำเร็จ ดู ปองท์คิดว่าตัวเองน่าจะเป็นโค้ชทีมที่ได้เหรียญทองได้ เลยสร้างทีมฟ็อกซ์แคทเชอร์ขึ้น เพื่อฝึกบรรดานักกีฬาโอลิมปิคที่มีโอกาสคว้าเหรียญ ไม่ว่าจะเป็น ว่ายน้ำ, ปัญจกีฬา และไตรกีฬา ก่อนที่จะดึงกีฬามวยปล้ำเข้ามาในปีต่อมา หลังจากแม่ของดู ปองท์ – จีน ไลส์เตอร์ ออสติน ดู ปองท์ เสียชีวิตในปี 1988 จอห์นเปลี่ยนชื่อฟาร์มจาก ไลส์เตอร์ ฮอลล์ ฟาร์ม มาเป็นฟ็อกซ์แคทเชอร์ เพื่อยกย่องวิลเลียม ดู ปองท์ จูเนียร์ พ่อของเขา ที่ตั้งชื่อทีมม้าแข่งข้ามเครื่องกีดขวางของตัวเองว่า ฟ็อกซ์แคทเชอร์ ในช่วงยุค 1920s

john du pont gunจากสิ่งที่ถูกเขียนถึง ดู ปองท์ดูเหมือนจะเป็นคนดี แต่กับเพื่อนๆ ใกล้ชิด ที่คบหากันในยุค 90s นั้น มักจะพูดกันว่า เขาชอบแสดงความเป็นคนเอาแน่เอานอนไม่ได้ออกมาให้เห็น และหลังจากเหตุการณ์ฆาตกรรม ทนายของเขาอ้างว่า เขาเริ่มมีสภาพความทรุดโทรมทางจิตใจ นับตั้งแต่แม่เสียชีวิตไปเมื่อปี 1988 นอกจากนี้บรรดาผู้ใกล้ชิดกับดู ปองท์ยังบอกอีกว่า ตัวเขาเชื่อว่ามีการวางแผนที่จะสังหารเขา พร้อมทั้งบอกว่าตัวเองนั้นเป็น ‘เด็กสวรรค์’ และคิดว่าเป็นองค์ ดาไล ลามะ นอกจากนี้ ดู ปองท์เองก็มีบางวีรกรรมที่บ่งบอกถึงความไม่ปกติแสดงต่อสาธารณะชนเช่นกัน อย่าง ชีวิตคู่ของเขาที่ค่อยๆ จบไปในปี 1983 หลังแต่งงานได้แค่ 90 วัน เมื่อ เกล เวงค์ ดู ปองท์ ภรรยาพบว่า เธอมีสิทธิ์ตายได้ถ้าไม่หนีไป เพราะดู ปองท์พยายามแทง และบีบคอเธอ, ผลักเธอเข้าไปในปล่องไฟ, ผลักเธอออกจากรถขณะที่กำลังวิ่ง ทั้งๆ ที่เขาเองก็รู้ดีว่า ตัวเองอาจจะถูกจับภาพเอาไว้เมื่อไหร่ก็ได้ ต่อมาในปี 1985 เธอได้ฟ้องเรียกเป็นคดีในทางแพ่งต่อสามีตัวเอง ดู ปองท์หันไปหายาเสพติดและเหล้า ซึ่งไม่ได้ช่วยอะไร แต่กลับเติมความเชื่อผิดๆ ให้มากขึ้นไปอีก เช่น เชื่อว่าม้าของเขากำลังส่งข้อความจากดาวอังคารมาให้

เคิร์ท แองเกิล แชมป์มวยปล้ำโอลิมปิค 1996 เพื่อนและนักเรียนของเดวิด เล่าว่าเขากับนักมวยปล้ำคนอื่นๆ ที่ฟ็อกซ์แคทเชอร์ ตระหนักได้ดีว่า จอห์น ดู ปองท์เป็นอันตรายขนาดไหน จากพฤติกรรมที่แสดงออกมา รวมไปถึงความจริงที่ว่า เขาชอบถือปืนไปในที่ต่างๆ และที่หนักข้อยิ่งกว่าก็คือ เขายังขับรถถังในที่ดินของตัวเองอีกด้วย ซึ่งในหนังก็ใช้เหตุการณ์นี้เป็นตัวอย่างความประหลาดของดู ปองท์ แล้วก็ยังมีเรื่องที่เขาให้นักมวยปล้ำไปในห้องใต้หลังคาเพื่อหาผี และใช้ไดนาไมท์ระเบิดรังของลูกหมาป่า รวมทั้งขับรถคอนติเนนตัล 2 ตอนพุ่งลงไปในสระของฟาร์ม, ทำลายข้าวของด้วยรถถังส่วนตัว ใช้ปืนข่มขู่คนอื่นๆ แต่มาร์ค ชูลท์ซ ยืนยันว่า ดู ปองท์ไม่เคยยิงปืนในระหว่างการฝึกซ้อมมวยปล้ำแบบในหนัง แต่กับการบุกเข้ามาในอพาร์ทเมนท์ของเขานั้นเป็นเรื่องจริง ดู ปองท์มักจะเข้ามาในห้องของเขาโดยไม่ได้รับอนุญาตบ่อยๆ แล้วก็เคยเอาปืนเล็งไปที่แฟนของชูลท์ซในตอนนั้น แดน เชด โค้ชอีกคนของทีมฟ็อกซ์แคทเชอร์ ก็ถอนตัวไปหลังทำงานที่นี่ราวๆ 8 ปี เมื่อดู ปองท์ขู่เขาด้วยการเล็งปืนกลมือใส่ คนส่วนมากที่ทำงานกับดู ปองท์รู้ดีว่า เขาเอาแน่เอานอนไม่ได้ แต่ไม่ใช่คนอันตราย โดยในตอนที่ดูปองท์เล็งปืนไปที่แฟน มาร์คก็เดินเข้ามาขวางระหว่างปลายปากกระบอกปืนกับแฟนสาว โดยไม่กลัวเลยว่าดู ปองท์จะลั่นไก

foxcatcher daveเดวิด ชูลท์ซ นักมวยปล้ำเหรียญทองโอลิมปิค มาคบกับดู ปองท์ในปี 80s ตอนที่มหาเศรษฐีผู้นี้ เริ่มให้ความสนอกสนใจกับกีฬามวยปล้ำอย่างจริงๆ จังๆ ทั้งคู่ใกล้ชิดกันมากขึ้น เมื่อเดวิดกับภรรยาย้ายมาอยู่ในพื้นที่บ้านของตระกูลดู ปองท์ พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่นานถึง 6 ปีจนถึงวันเกิดเหตุ ในตอนที่เดวิดเจอกับดู ปองท์นั้น เขามีหน้าที่เป็นโค้ชและกำลังเตรียมตัวสำหรับการคัดเลือกตัวแทนไปแข่งกีฬาโอลิมปิค

03 du-pont-trialในวันเกิดเหตุ 26 มกราคม 1996 ดู ปองท์ขับรถไปที่บ้านของเดวิด ซึ่งอยู่ในพื้นที่ของครอบครัวเขา แล้วก็ยิงด้วยปืนพก .38 คาลิเบอร์จนเสียชีวิตจากทางรถเข้าบ้าน ภรรยาของเดวิดเป็นผู้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด และได้ให้การปรักปรำดู ปองท์ในศาลในเวลาต่อมา หลังจากยิงเดวิด ดู ปองท์ กลับไปที่บ้านพักของตัวเอง เก็บตัวเงียบอยู่ในบ้าน โดยมีตำรวจล้อมเอาไว้ อีก 3 วันหลังจากเกิดเหตุเขาถึงออกมาจากบ้าน เพื่อเปิดเครื่องทำความร้อน ซึ่งทำหน้าที่ปรับอากาศในบ้านขนาด 44 ห้อง ที่ตำรวจปิดไป

สำหรับแรงจูงใจในการสังหาร ทุกวันนี้ก็ยังไม่ชัดเจน แต่หลายวันก่อนจะเกิดเหตุ เดวิดบอกกับดู ปองท์ว่า เขาตั้งใจจะไปรับงานโค้ชที่สแตนฟอร์ด หลังกีฬาโอลิมปิค ซึ่งเป็นไปได้ว่าอาจจะทำให้ดู ปองท์จิตตก ถึงกับมีการขอร้องอย่างบ้าคลั่ง คณะลูกขุนตัดสินว่าเขามีความผิดฆ่าคนตายโดยประมาท (Third Degree Murder) และสั่งตัดสินจำคุกเขา 13 – 30 ปี ดู ปองท์เสียชีวิตในเรือนจำเมื่อปี 2010 ด้วยวัย 72 ปี

ในหนังนั้นแสดงให้เห็นว่า แรงจูงใจน่าจะมาจากการที่มาร์คออกจากฟ็อกซ์แคทเชอร์ และยุติความสัมพันธ์กับเขา ทำให้ดู ปองท์โกรธและไปลงที่เดฟแทน ซึ่งในความเป็นจริง มาร์คไปจากฟ็อกซ์แคทเชอร์ ก่อนที่พี่ชายจะถูกยิงราวๆ 6 ปี เดฟในตอนนั้นอายุ 36 ปี เป็นโค้ชให้กับนักมวยปล้ำที่จะลงแข่งในกีฬาโอลิมปิค 1996 ที่แอตแลนตา แล้วเขาต่างหากไม่ใช่มาร์ค ที่สนิทสนมกับจอห์นเหมือนเป็นเพื่อนคนหนึ่ง

foxcatcher markทั้งมาร์ค ชูลท์ซน้อง กับเดวิด พี่ชายและเพื่อนร่วมทีมมวยปล้ำโอลิมปิค ต่างได้รับการยอมรับนับถืออย่างดีในวงการกีฬามวยปล้ำ โดยทั้งคู่สามารถคว้าเหรียญทองโอลิมปิคมาครองได้ในปี 1984 แต่ในยุคนั้น กีฬาไม่ใช่สิ่งที่ทำเงินทำทองมากนัก แม้จะเป็นนักมวยปล้ำระดับท็อป แต่ก็มีปัญหาเรื่องการเงินอยู่เรื่อยๆ ส่วนการช่วยเหลือจากทีมมวยปล้ำทีมชาติก็มีน้อย หรือไม่มีเลย “นั่นคือเหตุผลที่ทำให้ผมไปที่ฟ็อกซ์แคทเชอร์” มาร์คเล่า และจอห์น ดู ปองท์ก็จ่ายงามให้กับนักมวยปล้ำ โดยก่อนหน้าที่จะรับคำเชิญของดู ปองท์ มาร์คเพิ่งโดนไล่ออกจากการเป็นผู้ช่วยโค้ชที่สแตนฟอร์ด เขามาอยู่ที่ฟ็อกซ์แคทเชอร์ตั้งแต่ปี 1986 และออกจากที่นี่ในปี 1988 เมื่อไม่สามารถรับมือกับบรรยากาศที่เกิดขึ้นจาก “คนบ้าอัตตา” อย่าง จอห์น ดู ปองท์ได้

มาร์คไม่เคยให้เครดิตดู ปองท์ว่า เป็นผู้ช่วยชีวิตเขาไว้ เหมือนที่เห็นกันในหนัง และมองว่าเป็นแค่ผู้ชายแปลกๆ คนหนึ่งที่เสนองานโค้ชให้เขา เขาเล่าอีกว่า ดู ปองท์อยากให้เขามาเป็นผู้ช่วยโค้ชของตัวเอง ที่มหาวิทยาลัยวิลลาโนวา “ผมไม่ได้ย้ายไปเพ็นน์ซิวาเนีย เพื่อปล้ำให้ทีมฟ็อกซ์แคทเชอร์” มาร์ค เล่า “ผมได้งานโค้ชที่วิลลาโนวา” แต่ในหนังบอกว่า มาร์คไปที่ฟ็อกซ์แคทเชอร์ หลังจากดู ปองท์ทำให้มาร์คเชื่อมั่นว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งในแผนยึดวงการมวยปล้ำของเขา ซึ่งในชีวิตจริง คนแรกที่ดู ปองท์ติดต่อก็คือเดฟพี่ของมาร์ค แต่เขาแนะนำมาร์คให้อีกที แถมทั้งคู่ก็ไม่ได้สนิทสนมกันอย่างในหนัง มาร์คเล่าว่าเขารู้สึกไม่ดีกับดูปองท์ตั้งแต่พบกันและไม่รู้สึกสบายใจกับผู้ชายคนนี้เลย ความไม่ลงรอยเริ่มก่อตัวมากขึ้นเมื่อดู ปองท์ไปยุ่งกับการฝึกของมาร์ค จนทำให้เขาบอกกับดู ปองท์ว่า เขาจะไปสั่งทำเสื้อเชิร์ตที่พิมพ์ข้อความว่า “หุบปาก และปล่อยฉันไว้ตามลำพัง” เพื่อใส่เดินไปทั่วฟ็อกซ์แคทเชอร์ และไม่กี่วันหลังจากนั้นดู ปองท์ก็ทำเสื้อแบบนี้มาให้มาร์ค

foxcatcher jeanมาร์ค ชูลท์ซ ไม่ได้เข้าไปฝึกที่ฟ็อกซ์แคทเชอร์ในทันที เพราะในตอนแรกดู ปองท์ เสนอให้เขาไปเป็นโค้ชให้ทีมมวยปล้ำของมหาวิทยาลัย วิลลาโนวา ซึ่งกำลังจะก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาใหม่อีกครั้ง หลังดู ปองท์เทเงินบริจาคก้อนใหญ่ไปให้ และจริงๆ แล้ว คนที่ดู ปองท์โทรหาคนแรกก็คือเดฟ แต่เขาปฏิเสธ มาร์คย้ายมาอยู่ที่อพาร์ทเมนท์ใกล้ๆ มหาวิทยาลัย ทำงานและฝึกซ้อมไปด้วยก่อนที่จะถูกดู ปองท์ไล่ออก เนื่องจากเขาจัดงานปาร์ตีที่อพาร์ทเมนท์ มีเหล้าให้ดื่ม และมีนักมวยปล้ำที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะอยู่ในงานด้วย แต่เขาก็บอกว่า มาร์คยังฝึกซ้อมต่อไปได้ ถ้าย้ายไปอยู่ที่ฟ็อกซ์แคทเชอร์ กับเครื่องอำนวยความสะดวกสบายที่มี รวมไปถึงไม่ต้องจ่ายค่าที่พัก ทำให้มาร์คตอบตกลง

ดู ปองท์เองก็ได้สานต่อโครงการของฟ็อกซ์แคทเชอร์ โดยการบริจาคเงินจำนวนมากให้ทีมมวยปล้ำสหรัฐอเมริกา รวมไปถึงได้บรรดานักกีฬาระดับเยี่ยมๆ มาเข้าโครงการโดยอาศัยขื่อของมาร์ค สำหรับจุดประสงค์ของโครงการนี้ก็คือ ปั้นนักกกีฬาโอลิมปิคให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่ก็อย่างที่เห็นในภาพยนตร์ การให้ความสำคัญของความสนุก รื่นรมย์ มาก่อนระเบียบ วินัยของดู ปองท์ ทำให้งานนี้ไม่มีทางเป็นไปได้

02 David - Mark Schultzระยะเวลาที่พี่-น้องชูลทซ์อยู่ที่ฟ็อกซ์แคทเชอร์นั้น สำหรับดวิดกับครอบครัวอยู่ที่นี่ 6 ปี จากปี 1989 – ต้นปี 1996 แต่หนังเปลี่ยนเป็นยุค 80s เพื่อที่ในเรื่องเดฟกับมาร์คจะได้อยู่ที่นี่ในช่วงเวลาเดียวกัน ความตั้งใจของจอห์นที่เลือกเดฟมา ก็เพื่อเป็นโค้ชทีมมวยปล้ำ และฝึกบรรดาสมาชิกในทีมมวยปล้ำสหรัฐ อเมริกา เพื่อเข้าแข่งโอลิมปิคปี 1996 เห็นได้ชัดว่าในความเป็นจริงแล้ว มาร์คกับเดฟ – พี่ชายไม่เคยอยู่ที่ฟ็อกซ์แคทเชอร์ ฟาร์มในเวลาเดียวกันเลย เพราะมาร์คออกจากที่นี่ไปในปี 1988 และพี่ชายมาถึงในปี 1989 แต่ตัวหนังเอาเวลาของพวกเขามารวมกัน และปรับช่วงเวลาในหนังให้สั้นเข้า เป็นตั้งแต่ปี 1984 – 1988

มีเรื่องหนึ่งที่เป็นที่สงสัยอย่างมาก สำหรับคนที่ชมภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็คือความสัมพันธ์ของจอห์น ดูปองท์ และมาร์ค รวมไปถึงจอห์น กับนักมวยปล้ำคนอื่นๆ นั้น มีเรื่องทางเพศเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยไหม เพราะมีหลายๆ ฉากในหนังที่แสดงนัยทำนองนั้นให้เห็นอยู่ ซึ่งในหนังสือ มาร์คบอกว่า ดูปองท์ ได้ออกแบบท่าปล้ำที่เรียกว่า Foxcatcher Five ซึ่งนักมวยปล้ำจะต้องหาทางจับลูกอัณฑะของฝ่ายตรงข้าม ด้วยนิ้วทั้งห้านิ้วให้ได้ รวมทั้งยังแสดงความสงสัยว่าดู ปองท์อาจจะเป็นเกย์ แต่ก็ไม่ได้เห็นพฤติกรรมแบบนั้นอย่างชัดเจนในช่วงที่เขาอยู่ที่ฟ็อกซ์แคทเชอร์ แต่ที่น่าสนใจก็คือ ดูปองท์ที่เป็นคนจัดหาทุนให้กับมหาวิทยาลัยวิลลาโนวา เพื่อสร้างสนามกีฬาในร่ม และเริ่มโครงการกีฬามวยปล้ำขึ้นในปี 1986 พ้นข้อหาล่วงละเมิดทางเพศ และความสะเพร่าอื่นๆ ในอีก 2 ปีต่อมา จากการยอมความนอกศาล ซึ่งเขาถูกผู้ช่วยโค้ชของทีมวิลลาโนวา แอนเดร เมทซเกอร์ กล่าวหาว่า ดู ปองท์มีการแสดงออกทางเพศที่ไม่เหมาะสม รวมทั้งอ้างว่าตัวเองถูกไล่ออกเพราะปฏิเสธที่จะมีความสัมพันธ์แบบไม้ป่าเดียวกันกับจอห์น คดีนี้ยังส่งผลให้โครงการกีฬามวยปล้ำต้องถูกทอดทิ้ง และปิดโครงการไปในเวลาต่อมา

หลังจากมีการตีความฉากหนึ่งในหนังไปในทางรักร่วมเพศ มาร์คได้ออกมาตำหนิหนัง และผู้กำกับว่า “การปล่อยให้คนดูรู้สึกว่ามีนัยที่เป็นเรื่องความสัมพันธ์ทางเพศระหว่างดูปองท์ กับผม ถือเป็นเรื่องน่ารังเกียจ และเป็นการโกหกที่ร้ายกาจมากๆ” มาร์ค โพสท์เอาไว้ในเฟซบุ๊คของตัวเอง “ผมบอกเบนเน็ทท์ มิลเลอร์ (ผู้กำกับ) ให้ตัดฉากนั้นออก และเขาบอกว่า ฉากนี้จะทำให้คนดูรู้สึกว่าดูปองท์คุกคามความเป็นส่วนตัวของคุณ ผมไม่ได้รู้สึกถึงเรื่องนั้นแบบชัดๆ ก็เลยไม่มีปัญหาอะไรกับมัน แต่หลังจากอ่านบทวิจารณ์ 3-4 ชิ้นที่ตีพิมพ์ออกมา และตีความว่าเป็นเรื่องทางเพศ แล้วทำให้ชื่อเสียงของผมเสียหาย พวกเขาต้องจัดงานแถลงข่าวเพื่อเคลียร์เรื่องนี้ หรือจะให้ผมจัด” ยิ่งไปกว่านั้น มาร์คยังโพสท์ข้อความว่า “ผมเกลียดเบนเน็ทท์ มิลเลอร์” ในทวิตเตอร์ “ผมเกลียดทุกอย่างที่ไอ้ตัวร้ายไปแตะต้อง ทุกสิ่งอย่าง!!!”

01 John du Pont - David Schultzแถมมาร์คก็ไม่เคยไปทำสีผมแบบในหนังอีกด้วย “ผมไม่เคยไปย้อมผม” มาร์ค แย้งเอาไว้ในเฟซบุ๊ค ขณะที่การเป็นคนที่ต้องการให้ความพ่ายแพ้เป็นประสบการณ์ที่เลวร้ายที่สุด มาร์คมักจะทำร้ายตัวเองหลังการพ่ายแพ้ เพื่อที่เขาจะได้รู้สึกถึงความเจ็บปวดจากผลการแข่งขันที่เลวร้าย และใช้เป็นแรงกระตุ้นเพื่อที่จะไม่ทำผิดพลาดซ้ำเดิมอีก และกับการแสดงในภาพยนตร์ แชนนิง ทาทัมเองก็ต้องทำให้ตัวเองรู้สึกไม่ต่างกัน และเขาเอาศรีษะกระแทกเข้าไปกับกระจกจริงๆ จนได้รับบาดเจ็บ ผู้กำกับเบนเน็ทท์ มิลเลอร์ บอกกับนิตยสารวานิตี แฟร์ว่า “เขาเอาหัวกระแทกกระจกราวๆ 3 ครั้งจนแตก แล้วก็กระแทกมันซ้ำ จนทะลุกระจก ไปจนถึงผนังที่แขวนมันเอาไว้ลึกราวๆ 2 นิ้ว พอเราเอากระจกลงมาจะเห็นผนังเป็นหลุม ส่วนตัวเขาก็โดนบาด ซึ่งเลือดที่เห็นในหนังน่ะ เลือดเขาล้วนๆ

ในหนังเส้นทางของมาร์คเริ่มพลิกผันเมื่อดู ปองท์ ให้เขาลองโคเคนบนเฮลิคอปเตอร์ ที่พาทั้งคู่ไปงานเลี้ยง ซึ่งในความเป็นจริงมาร์คยอมรับว่าตัวเองเคยใช้ยาเสพติด ซึ่งก็รวมไปถึงโคเคน แต่ก่อนหน้าที่จะไปอยู่ที่ฟ็อกซ์แคทเชอร์ด้วยซ้ำ แล้วดู ปองท์ต่างหากที่เป็นคนถามเขาว่า จะหาโคเคนได้ที่ไหน และมาร์คก็หามาให้อยู่ 2-3 ครั้ง พร้อมทั้งเล่นด้วยกัน เขายังอ้างด้วยว่า ดู ปองท์เคยอวดโคเคนยี่ห้อ Evidence หนักราวๆ กิโลหนึ่งที่เก็บไว้ในลิ้นชักให้เขาดูด้วย มาร์คตั้งข้อสังเกตว่าโคเคนของดู ปองท์นั้นน่าจะได้มาจากเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มาสอนยิงปืนให้ดู ปองท์ ซึ่งได้รับยกย่องว่าเป็นมิตรของตำรวจ จากการบริจาคเงินให้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า มาร์คทำให้ดู ปองท์เข้าหายากเสพติด เพราะจริงๆ แล้ว ดู ปองท์มีปัญหาเรื่องยาเสพติดกับเหล้ามานานแล้ว กระทั่งในตอนที่พบกันครั้งแรก ดู ปองท์ก็อยู่ในสภาพเมาเหล้าและเคลิ้มสุดๆ ด้วยฤทธิ์ยา มาร์คแทบไม่เห็นดู ปองท์อยู่ในสภาพปกติเลยในอีกหลายปีต่อจากนั้น หลังจากที่เดฟถูกยิง เพื่อนๆ, ผู้ร่วมงาน ตลอดจนเพื่อนบ้านของดู ปองท์ ก็ยืนยันถึงเรื่องนี้ไม่ต่างไปจากที่สื่อรายงาน

ส่วนเรื่องที่ดูปองท์เขียนคำกล่าวในงานเลี้ยงให้เขานั้นก็เป็นความจริง แต่เขาพยายามเน้นแต่เรื่องของตัวเอง และไม่พูดถึงความดีของจอห์นสักเท่าไหร่ “ผมไม่เคยอ่านคำกล่าวในงานเลี้ยง ที่เขาเขียนให้ผม” ถือว่าเป็นหนึ่งความไม่ถูกต้องของหนัง แล้วมาร์คก็ไม่เคยเป็นโค้ชให้จอห์นในการแข่งเลย “ผมไม่เคยแสดงท่าทาง หรือสอนเกี่ยวกับมวยปล้ำให้เขา” มาร์คกล่าว “ผมไม่เคยเป็นโค้ชให้เขาในการแข่งมวยปล้ำเลย” มาร์คย้ำ

มาร์คอำลาการแข่งมวยปล้ำ หลังโอลิมปิคที่โซล ในปี 1988 “ผมเลิกลงแข่งมวยปล้ำ หลังแพ้ในกีฬาโอลิมปิค 1988 แล้วก็ออกจากฟ็อกซ์แคทเชอร์ ฟาร์ม” มาร์คยืนยันในเฟซบุ๊ค และกับหนัง Foxcatcher เขาเอาก็มาปรากฏตัวในหนังด้วย “ใช่ ผมมาเล่นแบบคามีโอ (ตัวประกอบแบบไม่มีเครดิต)” มาร์ค เผย “ผมเป็นคนชั่งน้ำหนักแชนนิง ที่มาเล่นเป็นผม ในเรื่องเขามีเวลาแค่ 90 นาที เพื่อลดน้ำหนักให้ได้ 12 ปอนด์ ภายใน 1 วันก่อนการลงแข่งคัดตัวไปโอลิมปิค ’88 ผมเล่นเป็นเจ้าหน้าที่ชั่งน้ำหนักให้เขา” สำหรับเหตุการณ์ในวันนั้น มาร์คเกิดรู้สึกอยากวางมือ หลังพ่ายแพ้ในการแข่งขันเพื่อคัดตัว เขาเลยปล่อยตัวไปกับอาหารต่างๆ ในห้อง แล้วพอจะตัดสินใจเข้าแข่งอีกหน ก็พบว่าตัวเองน้ำหนักเกินไปถึง 12 ปอนด์ และเดฟมาช่วยเขาลดน้ำหนักแบบด่วนจี๋ “ผมล้วงคอจนออกมาได้ราวๆ ปอนด์ครึ่ง ต้องใส่เสื้อลดน้ำหนัก 4 ตัว แล้วก็ปั้นจักรยานยังกับคนบ้า ในเวลา 90 นาที” แต่ที่ไม่เหมือนในหนังก็คือ ดูปองท์ไม่ได้มาเห็นเหตุการณ์นี้ แล้วจากไป รวมไปถึงว่าเรื่องราวนี้เกิดขึ้นหลังจากแม่ของเขาเสียชีวิตไปแล้วด้วย

foxcatcher nancyพยานปากสำคัญในคดีฆาตกรรมครั้งนี้ ก็คือ แนนซีภรรยาของเดวิด ที่วิ่งออกมาที่ประตู และทันเห็นกระสุนนัดที่สามนัดสุดท้าย เจาะเข้ากลางหลังของเขา ขณะที่เดวิดพยายามคลานมาที่ประตูหน้าบ้าน จากนั้นดูปองท์ก็ยกปืนเล็งมาที่เธอก่อนจะขับรถออกไป ในระหว่างถ่ายทำแนนซี ชูลท์ซตัวจริง มาเยี่ยมกองถ่ายด้วย เพื่อมาดูการแสดงของเซียนนา มิลเลอร์ที่รับบทเป็นเธอ รวมไปถึงฉากฆาตกรรมที่บ้านรับรองแขกของดูปองท์ ที่บรรดาคนในตระกูลชูลท์ซเรียกว่าเกสท์เฮาส์ มาตลอดเวลา 6 ปี แล้วฉากที่มิลเลอร์โทรหา 911 ในหนังก็แกะจากเหตุการณ์ที่แนนซีเล่าแบบเป๊ะๆ ลูกๆ ของเธอก็ปรากฏตัวในเหตุการณ์นี้ด้วย แล้วการกระทำของแนนซีก็เป็นอย่างที่เห็น เธอพลิกหน้าสามีมา แล้วกอดเขาไว้ในวงแขนในตอนที่เขาหมดลมหายใจ “ฉันบอกว่า ‘ฉันรักคุณ’” แนนซีเผย “และบางทีเขาก็น่าจะเก็บถ้อยคำเหล่านั้นไปกับตัวเองด้วย” โดยในตอนที่เสียชีวิต เดฟเขียนคำว่า P.U. Kids เอาไว้ในมือเหมือนที่เห็นในหนังจริงๆ เพื่อเตือนตัวเองว่า อย่าลืมไปรับลูกๆ (Pick Up Kids) จากโรงเรียน

มาร์ครู้ข่าวพี่ชายถูกยิงจากพ่อที่โทรมาหา “ในปี 1996 ผมเป็นหัวหน้าโค้ชอยู่ที่มหาวิทยาลัยบิงแฮม ยัง” มาร์ค เล่า “แล้วก็มีโทรศัพท์จากพ่อ บอกว่าพี่ผมถูกดูปองท์ยิง ซึ่งทำให้ผมโกรธสุดขีด และผมคิดว่า ตัวเองไปพังทุกอย่างในห้องทำงาน ก่อนจะกลับไปบ้าน เปิดช่องซีเอ็นเอ็น ดูการเผชิญหน้าระหว่างดูปองท์กับตำรวจที่ล้อมบ้านของเขาเอาไว้”

04 foxcatcher9n-17-webถึงเรื่องราวดูเหมือนวางคนในตระกูลดูปองท์เป็นตัวร้าย แต่ก็ไม่มีการพยายามขัดขวางจากตระกูลมหาเศรษฐี ที่มีอำนาจไม่ใช่น้อยในอเมริกาแต่อย่างใด “ไม่ๆ” ผู้กำกับเบนเน็ทท์ มิลเลอร์ กล่าว “ไม่มีอะไรแอบแฝง ไม่มีความพยายามขัดขวาง หรือหยุดเรา ผมได้เจอคนตระกูลดู ปองท์ 2-3 คน พวกเขาก็เข้าใจดี แต่ไม่มีจุดไหนที่ใครจะก้าวล้ำเส้นมาได้ ผมคิดว่าเราชัดเจนนะ สำหรับขอบเขตของสิทธิทางกฏหมายที่เราได้รับมาว่า อะไรที่ทำได้ และอะไรที่ทำไม่ได้”

แต่ทางกองถ่ายก็ไม่ได้ถ่ายทำในสถานที่เกิดเหตุจริงๆ เมื่อสิ่งต่างๆ ถูกรื้อถอนไปหมดในปี 2013 และปัจจุบันกลายเป็นส่วนหนึ่งของ บริษัทพัฒนาที่อยู่อาศัย ไลส์เตอร์ ทำให้กองถ่ายต้องถ่ายฉากภายนอกของฟ็อกซ์แคทเชอร์ที่ มอร์ฟเวน ปาร์ค ในลีสเบิร์ก, เวอร์จิเนีย ส่วนฉากภายในต้องไปถ่ายที่ วิลเพน ฮอลล์ ที่ เซวิกคลีย์, เพ็นน์ซิลเวเนีย ใกล้ๆ กับพิทท์สเบิร์ก

แน่นอนว่า แนนซีให้การอนุมัติหนังเรื่องนี้ และพยายามให้หนังทำออกมาในแบบที่เธอขอ รวมไปถึงเอาสิ่งต่างๆ ในชีวิตมาให้ทีมงานได้ใช้ ไม่ว่าจะเป็นรูปภาพ, หนังที่ถ่ายกันเอง, แว่นตาของสามี ซึ่งมาร์ค รัฟฟาโลเอามาใส่ในหนังด้วย ตลอดจนโปสเตอร์ไดโนเสาร์ในห้องนอนของอเล็กซานเดอร์ ลูกชายที่ตอนเกิดเหตุนั้นอายุเพียงแค่ 9 ขวบ “ครั้งแรกที่ฉันดูหนัง มันเต็มไปด้วยอารมณ์ล้วนๆ” แนนซี เผย “ฉันนั่งในห้องฉายกับดาเนียลเล-ลูกสาว หลังหนังจบ… เราเงียบกันไปพักใหญ่ มันต้องใช้เวลาสักพักเพื่อผ่านมันไปให้ได้”

ในตอนสุดท้ายของหนัง มาร์คที่วางมือจากมวยปล้ำสมัครเล่น หันไปเป็นนักมวยปล้ำของ MMA ซึ่งในความเป็นจริง เขาก็เป็นอย่างที่เห็นในหนังหลังจากพี่ชายจากไปไม่ถึง 4 เดือน โดยเขาขึ้นเวทีครั้งแรกในการแข่งขัน UFC 9 ที่ดีทรอยท์, มิชิแกน เมื่อ 17 พฤษภาคม 1996 โดยเอาชนะแกรี กูดริดจ์ได้ใน 12 นาทีด้วยการน็อค ซึ่งจริงๆ แล้วเขาไม่ได้ตั้งใจจะแข่ง UFC 9 แต่ต้องขึ้นเวทีแทนเดฟ เบเนเทียในนาทีสุดท้าย แต่ถึงจะชนะเขาก็ไม่ได้แชมป์ เพราะเป็นครั้งแรกที่การแข่งขันไม่ได้เป็นไปตามรูปแบบปกติของรายการ ถือเป็นการประลองฝีมือคั่นเวลา ซึ่งต่างไปจากที่ในหนังบอกเป็นนัยๆ และมาร์คก็ขึ้นเวที MMA เพียงแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว และท้ายที่สุดเขาก็กลับไปเป็นโค้ชที่มหาวิทยาลัยบิงแฮม ยัง

ข้อมูลประกอบการเขียน จาก เรื่องจริงมาขึ้นจอ เผยเรื่องราวโศกนาฏกรรม Foxcatcher ของจริง ตัวจริง โดย ลุงทอย นิตยสารเอนเตอร์เทน ฉบับที่ 1176 16 มกราคม 2558, www.historyvshollywood.com , time.com, www.popsugar.com

What is your reaction?

Excited
0
Happy
0
In Love
0
Not Sure
0
Silly
0
Sadaos
พบข่าวสารจากวงการหนัง-เพลง ภาพสวยของดาราสาว, วิจารณ์-แนะนำ งานเพลง, ภาพยนตร์ และรับสั่งซื้อ CD/ DVD ทั้งในและต่างประเทศ. Sadaos Is entertainment news page and online shop for people who love movie and music. We sell many entertainment items like used and new DVD, CD, postcards, accessory, souvenirs.

You may also like

More in:FEATURES

Comments are closed.