FEATURESMovie Features

JASON BOURNE การผจญภัยครั้งใหม่ ในโลกใหม่ของเจสัน บอร์น

จากที่บอกศาลาบทสายลับเจสัน บอร์นไปเมื่อ 9 ปีก่อน การกลับมาอีกครั้งของสายลับจอมระห่ำรายนี้ในหนัง Jason Bourne ทำให้แม็ทท์ เดมอน และพอล กรีนกราสส์ ได้ร่วมงานกันอีก นอกเหนือไปจากทำให้ทั้งคู่ต้องผิดปาก ผิดคำที่เคยบอกเอาไว้ก่อนหน้า ที่ใครบางคนเคยบอกเอาไว้ว่า ‘อย่าพูดว่าไม่เอาอีกแล้ว’ แต่ทั้งเดมอน และกรีนกราสส์ ต่างก็ยืนยันเสียง-ปาก-คอแข็ง หลังจากการทำงานร่วมกันครั้งที่สองของพวกเขา ที่เป็นหนัง Bourne เรื่องที่ 3 The Bourne Ultimatum ในปี 2007 ที่เป็นผลพวงต่อจาก The Bourne Supremacy เมื่อปี 2004 จบสิ้นลง ว่า ‘ไม่อีกแล้ว’ ไม่มีทางที่พวกเขาจะนำโคตรสายลับรายนี้กลับมาอีก ไม่มีทาง ไม่เอา และไม่ทำ

jason_bourne-sadaos_story03
แต่แล้วเมื่อเดือนกันยายน 2015 เดมอนกับกรีนกราสส์ก็พบว่าตัวเองกลับมาทำงานร่วมกันอีกครั้ง ในหนังที่ว่าด้วยเจสัน บอร์นเรื่องใหม่ “ผมไม่เคยใช้เวลา 7-8 ปีที่ผ่านมา คิดแต่ว่า น่าจะทำหนัง Bourne อีกสักเรื่อง” กรีนกราสส์ เผย “ผมภูมิใจกับการที่ได้ทำหนังชุดนี้จบสิ้น มันเป็นสิ่งที่มองเห็นได้จากกระจกมองหลัง และผมก็รู้สึกสบายใจที่เป็นอย่างนั้น”

จริงๆ แล้วผู้กำกับชาวอังกฤษรายนี้ เตรียมที่จะทำหนัง Bourne เรื่องที่สี่แล้ว แต่เขาก็ตัดสินใจเดินออกมาในเดือนธันวาคม 2009 แล้วก็หันไปให้ความสนใจกับโปรเจ็คท์อื่นๆ แทน ซึ่งหลายๆ ชิ้นก็ไม่ได้เป็นรูปเป็นร่างออกมา ไม่ว่าจะเป็น Memphis หนังเกี่ยวกับมาร์ติน ลูเธอร์ คิง, หนังที่ดัดแปลงจากนิยายของโรเบิร์ท แฮร์ริส The Fear Index แต่ถึงจะมีงานเข้ามาให้พิจารณาโดยตลอด แต่หนัง Bourne ก็ไม่เคยหายไปไหน นี่คือผู้ชายที่ยากจะลืมเลือนจริงๆ

“ทุกครั้งที่ผมกับพอลคุยกัน Bourne จะถูกพูดถึงเสมอ” เดมอน เล่า “ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เราคุยเรื่องนี้กันไปร่วมๆ 30 หนได้ บางครั้งก็พูดถึงเพียงแค่สั้นๆ แต่ไปๆ มาๆ มันก็ยาวขึ้น และถี่กว่าเดิม” ซึ่งก็รวมไปถึงว่าจริงจังมากขึ้นด้วย ถึงแม้ว่ากรีนกราสส์ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไร จนกระทั่งช่วงหน้าร้อนของปี 2014 เมื่อทั้งคู่ได้พบกับมือตัดต่อยาวนานของกรีนกราสส์ – คริสโตเฟอร์ เราส์ ไฟก็ถูกจุดขึ้น “พอมองกลับไป ผมเป็นหนี้หนังชุดนี้” กรีนกราสส์เผย “และประหลาดใจที่มันผ่านมานานแค่ไหนแล้ว แล้วโลกเราเปลี่ยนแปลงไปขนาดไหน จากนั้นผมก็เริ่มคิด… ‘หนังเรื่องนี้มันน่าจะสนุกขนาดไหนนะ?’”

jason_bourne-sadaos_story02

ทุกอย่างเริ่มเป็นรูปเป็นร่างเมื่อเราส์กับกรีนกราสส์ลงมือเขียนบทร่วมกัน ส่วนเดมอนที่เคยคว้ารางวัลออสการ์เขียนบทยอดเยี่ยม ก็ช่วยในเรื่องของพล็อต น่าเสียดายที่ตารางการทำงานของเขาวุ่นๆ จนกันเขาออกไปจากการมีส่วนร่วมในการเขียนบท

และชื่อตัวละครในเรื่องล่ะ จะใช้ชื่อเจสัน บอร์น หรือว่าเดวิด เว็บบ์ ที่เป็นชื่อจริง ซึ่งสำหรับหนัง Bourne มันเป็นเรื่องสำคัญ หลังจากที่หนังเรื่องก่อนๆ หน้านี้ มีแม่พิมพ์เดียวกันคือ ใช้ชื่อจากนิยายของโรเบิร์ท ลัดลัม หรือว่า เอริค ฟอน ลัสท์เบเดอร์ ที่ตัวหนังเองก็มีที่มาแบบหลวมๆ จากหนังสือเหล่านั้น

และหลายๆ คนก็คาดว่า หนังเรื่องใหม่น่าจะมีที่มาของชื่อไม่ต่างไปจากเดิม ซึ่งก็น่าจะเป็นThe Bourne Betrayal แต่แล้วเมื่อชื่อหนังอย่างเป็นทางการถูกเผยออกมา ในสปอตโฆษณาระหว่างการแข่งขันซูเปอร์โบลว์ มันเป็นชื่อที่สั้น และตรงเป้าอย่างที่สุด Jason Bourne

“เรามีชื่อที่แตกต่างกันเป็นร้อยๆ ชื่อ” เดมอนเล่า “The Bourne นี่ The Bourne นั่น แต่ชื่อนี้มันจะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เราเล่า และยังเป็นวิธีที่ดี ในการแยกมันออกจากหนังสามเรื่องก่อนหน้า ธีมของมันจะเรื่องของผู้ชายคนนี้ ที่พยายามค้นหาตัวตนของตัวเอง จากนั้นก็ทิ้งมันไป แล้วในต้นเรื่องของหนังเรื่องนี้ คนดูจะได้เห็นเขาอยู่ในสถานที่ที่มืดมิด คำถามที่เป็นศูนย์กลางของหนังก็คือ…’ตัวตนนี้จะเป็นอะไร และผมจะเป็นใครถ้าไม่มีมัน?’”

อีกเหตุผลหนึ่งในการใช้ชื่อเรื่องที่แตกต่างไปจากประเพณีนิยมของหนัง อาจจะเป็นเรื่องเสียดสีแต่มันก็มีความเป็นไปได้ ในปี 2012 ซึ่งกรีนกราสส์กับเดมอน ยังยืนกรานที่จะไม่กลับมา ทางยูนิเวอร์แซลพยายามที่สร้างจักรวาลหนัง Bourne แบบเดียวกับที่มาร์เวลสร้างจักรวาลของมาร์เวล พวกเขาดึงตัวผู้เขียนบทหนังต้นฉบับ โทนี กิลรอย มากำกับ The Bourne Legacy ที่อาจจะเป็นก้าวแรกในการสร้างจักรวาลของบอร์น ซึ่งสามารถดำเนินต่อไปได้โดยที่ไม่ต้องมีตัวละครที่เป็นชื่อเรื่อง ให้เจเรมี เรนเนอร์ เป็นดารานำ ด้วยการขยายขอบเขตออกไป ให้เขาเป็นนักฆ่าในอีกการทดลองหนึ่ง แต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ หนังทำเงินเพียงแค่ครึ่งหนึ่งที่ Ultimatum ทำไว้ 440 ล้านเหรียญทั่วโลก คำวิจารณ์ก็ก้ำกึ่ง ที่ร้ายยิ่งกว่าก็คือ ทายาทของหนัง Bourne กลายเป็นสิ่งที่ทำลายชื่อ The Bourne … ทำให้ต้องการชื่อใหม่ๆ ซึ่งกรีนกราสส์และเดมอนจะได้ย้ำให้ผู้ชมรู้สึกว่า หนัง Legacy ไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับหนังเรื่องนี้เลย

“ไม่… สตูดิโอเป็นคนที่ตั้งชื่อนี้” เดมอนพูดพร้อมกับหัวเราะ “ผมเข้าใจนะว่า ทำไมพวกเขาถึงทำ The Bourne Legacy สตูดิโอต้องเข็นหนังบอร์นออกมา เพราะข้อตกลงของพวกเขากับผู้ดูแลสินทรัพย์ พวกเขามาหาเรา แต่เราไม่มีอะไรเลย แล้วโทนีก็มาพร้อมกับการขยายเรื่องราวทั้งหมดออกไปโดยที่ไม่มีผม ผมเข้าใจนะ อย่าจงเกลียดจงชังพวกเขาเพราะเรื่องนี้เลย”

นอกจากจะแสดงให้เห็นว่าหนัง Bourne ที่ไม่มีเจสัน บอร์น เป็นความล้มเหลวแล้ว ยังแสดงให้เห็นอีกว่า หนัง Bourne ที่ปราศจากเดมอน ไม่มีทางได้ใจคนดู อย่างที่โปสเตอร์ของหนังไตรภาคต้นฉบับระบุเอาไว้ตัวโต้งๆ Matt Damon is Jason Bourne

ไม่นานหลังจากตกลงกำกับ The Bourne Supremacy ในปี 2003 กรีนกราสส์พบว่าตัวเองอยู่ในสถานภาพที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน เมื่อตัวเองอยู่ที่ปลายสายโทรศัพท์ พยายามที่จะโน้มน้าวให้แม็ทท์ เดมอนอย่างเลิกเล่น “ผมไม่คิดว่าบทที่เรามี ตอนที่พวกเขาไฟเขียวให้สร้างได้ มันพร้อมที่จะไปต่อจริงๆ” เดมอนเล่า “ผมไม่อยากเอาตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์ที่ ผู้กำกับผมก็ไม่คิดว่ารู้จัก บทผมก็คิดว่าไม่พร้อม ผมเลยโทรไปหาพอล บอกเขาว่า ผมไม่เล่นนะ”

13 ปีผ่านไป เดมอนพยายามลดน้ำหนักของเหตุการณ์นั้นลง แต่ก็ยอมรับว่าการบอกเลิกเล่นเป็นบอร์น ส่งผลต่อเขากับกรีนกราสส์ “ผมถึงกับดึงทึ้งผมตัวเอง” กรีนกราสส์ เล่า “เขากับผมไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แม็ทท์ได้ดูหนังที่ผมทำอยู่ 2-3 เรื่อง แต่ไม่มีอะไรเลยที่แสดงให้เห็นว่า ผมจะทำหนังแอ็คชันทุนสูง เอาใจตลาดได้ แต่ในที่สุดเราก็พูดกันว่า ‘ช่างมันเถอะ… เราจะทำมันกัน’”

ซึ่งเรื่องจริงมันไม่ได้ง่ายอย่างนั้นแน่ๆ เดมอนเล่าให้ฟังต่อว่า กรีนกราสส์ที่ขึ้นชื่อในเรื่องไม่มีความลังเลใจที่จะทำอะไรออกมา ถามนักแสดงที่อยู่ปลายสายอีกด้านว่า มีบทอยู่ในมือไหม เดมอนตอบว่ามี กรีนกราสส์บอกว่าเขาน่าจะเปิดไปที่หน้าแรก “แล้วเขาก็ใช้เวลาสองชั่วโมงพูดกับผมทางโทรศัพท์ ถึงหนังที่ผมกำลังจะเล่นทั้งเรื่อง หลังจากนั้นผมถึงกับต้องบอกกับตัวเอง ‘นายโอเคนะ’”

ทุกอย่างออกมายิ่งกว่าโอเค Supremacy ทำเงินไป 288 ล้านเหรียญทั่วโลก กรีนกราสส์กับเดมอนกลายเป็นทั้งเพื่อนร่วมงานและเพื่อนกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ดำเนินไปด้วยกันได้ยากยิ่ง “ผมรักเขาเหมือนเป็นน้องชาย” กรีนกราสส์กล่าว

กับพล็อตของหนังเรื่องใหม่ ทั้งเดมอนและกรีนกราสส์พยายามอย่างเต็มที่ ที่จะไม่ให้หลุดออกไป และที่ทุกคนรู้ก็มีแค่ 12 ปีหลังจากตอนจบของThe Bourne Ultimatum ซึ่งตัวหนังเริ่มต้นต่อเนื่องจากแบบติดๆ กันจากเหตุการณ์ใน The Bourne Supremacy ในปี 2004 บอร์น (เว็บบ์) พยายามหนีจากการตรวจพบในโลกที่ซอฟท์แวร์จดจำใบหน้าเป็นเหมือนฝันร้ายของเขา ด้วยการก้าวออกไปจากโลกที่คุ้นเคย พูดง่ายๆ ก็คือ เขาไม่อยู่ในเกมนี้อีกต่อไปแล้ว “เพื่อให้บอร์นกลับมาทำงาน มันต้องใช้สิ่งที่เป็นเรื่องส่วนตัวมากๆ สำหรับเขา” เดมอน อธิบาย “มันมีสภาวะบางอย่างที่ลากเขากลับเข้ามา แต่หัวใจสำคัญก็คือ เขาเองมีความต้องการลึกๆ ที่จะแก้ไขบางสิ่ง”

และสภาวะบางอย่างก็มีความเกี่ยวพันกับอดีตซีไอเออย่าง นิคกี พาร์สันส์ (จูเลีย สไตล์ส กลับมารับบทเดิม และทำให้เธอกลายเป็นนักแสดงอีกคน นอกเหนือไปจากเดมอน ที่ได้เล่นหนังชุดนี้ครบสี่เรื่อง) ซึ่งได้เห็นเป็นครั้งสุดท้ายใน Ultimatum ต้องหลบหนีหัวซุกหัวซุน “นั่นคือสิ่งที่หนังเริ่มต้น” เดมอนเล่า “คุณจะได้เห็นบอร์นกับนิคกีแยกกันใช้ชีวิต แต่เป็นไปอย่างนอกลู่นอกทาง, เจ็บปวด และทุกข์ทนจากชีวิตที่พวกเขาเป็น” จากนั้นนิคกีก็กลายเป็นตัวละครในแบบเอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน แฮ็คเข้าระบบของซีไอเอเพื่อดาวน์โหลดไฟล์เกี่ยวกับเทรดสโตน และแบล็คเบรียร์ โปรแกรมที่เป็นปฏิบัติการด้านมืดที่เปลี่ยนบอร์นให้กลายเป็นเครื่องจักรนักฆ่า ไม่นานหลังจากที่กลับมาสู่เกม บอร์นเดินทางไปมาทั่วโลก ถูกหลอกหลอนด้วยบางสิ่งจากอดีต และสิ่งใหม่ๆ ในปัจจุบันของตัวเอง

jason_bourne-sadaos_story04

ภาคต่อ แม้จะมีอะไรที่ดูคุ้นเคย แต่ก็ต้องมีบางอย่างที่ถูกปรับแต่ง เพื่อให้มั่นใจได้ว่า มีความสดใหม่ในตัวมากพอที่จะไม่ถูกมองว่าเป็นแค่การปะชุน หรือเป็นแค่การเอาเทรดสโตนมาเล่าใหม่ “สิ่งที่เราเล่าลึกลงไปในหนังเรื่องนี้ เป็นสิ่ง ‘ใหม่’ ที่ต้องการสมาชิกคนใหม่ๆ” เดมอนอธิบาย และทีมนักแสดงใหม่ของหนังก็ได้แก่ ทอมมี ลี โจนส์, อลิเซีย วิแคนเดอร์, วินเซนท์ แคสเซล และ ริซ อาเหม็ด “อลิเซียเป็นตัวแทนของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป” เดมอนหยอด “สารพัดสิ่งไซเบอร์ ที่ไม่เคยมีเลยเมื่อ 10 ปีก่อน และทอมมี ลี โจนส์ จะเป็นซีไอเอระดับสุดยอด ขณะที่แคสเซล เป็นนักฆ่าโหดสุดขั้ว ทั้งหมดจะทำให้มีความรู้สึกเป็นหนัง Bourne เรื่องใหม่ มีอะไรใหม่ๆ แต่ก็มีบางอย่างที่จดจำกันได้ว่านี่คือหนัง Bourne”

ซึ่งนั่นหมายความว่า จะต้องมีฉากขับรถไล่ล่า ที่คราวนี้จะไปซิ่งกันบนถนนในลาส เวกัส ซึ่งเป็นสถานที่ ที่มีสีสันแปลกตา ไปจากที่เคยเห็นกันในหนังชุดนี้เรื่องอื่นๆ “ทุกอย่างจะต้องถูกขับเคลื่อนด้วยเรื่อง” กรีนกราสส์ ย้ำ “ผมไม่เคยเห็นฉากขัยรถไล่กันในเวกัส หรือไม่มีอะไรที่เป็นแบบนั้นจริงๆ ผมเคยเดินไปตามถนนตอนกลางคืน แล้วก็คิดว่า… ‘ตายห่- นี่มันโคตรกว้างเลย!'”

สำหรับเดมอนและกรีนกราสส์ ช่วงเวลา 9 ปีที่ผ่านไป เต็มไปด้วยผู้คนที่มาถามคำถามง่ายๆ กับพวกเขา ‘เมื่อไหร่พวกคุณจะกลับมาทำหนัง Bourne อีก?’ และตอนนี้พวกเขาก็ทำแล้ว แต่คำถามที่ว่าก็ยังไม่หายไปไหน ฉากจบของหนังที่ศีรษะของบอร์นค่อยเลือนหายไปจากร่าง ถือเป็นการวางเดิมพันที่ดี เมื่อสร้างความกระหายให้เกิดขึ้นได้มากกว่าเดิม

เดมอนเป็นคนพูดต่อ “ผมคงไม่ลุกมาจับปืนอีกหรอก ถ้าพวกเขาหาเด็กหนุ่มๆ มาเล่นเป็นบอร์นได้ แต่ขาผมยังวิ่งไปได้อีกหลายไมล์ ผมไม่รู้ว่าตัวเองอยากโดดขึ้น โดดลงรถไฟ หรือเล่นคาราเต้หลอกๆ มากมายขนาดไหน? การทำแบบนั้นมันเป็นสิ่งที่ต้องพิสูจน์ ในเวลาที่คุณสามารถทำได้”

เป็นอีกครั้ง ที่คนเล่นแง่เป็นกรีนกราสส์ เมื่อถูกถามว่า จะกลับมาทำหนังเรื่องที่ห้า ที่โดยทางเทคนิค จะเป็นหนัง Bourne เรื่องที่หกหรือเปล่า? “มันเป็นเรื่องที่ดีนะ ที่ได้กลับมาทำหนัง Bourne อีกเรื่อง” เขาตอบ “แต่ผมคงไม่ตอบคำถามนี้ ในตอนนี้หรอก ผมจะไปพัก แล้วก็ทำหนังเรื่องอื่นๆ ซึ่งแตกต่างไปจากนี้”

แม้จะไม่ใช่คำตอบว่า ‘ตกลง’ แต่มันก็ไม่ใช่คำตอบที่ตัดเยื่อตัดใย ซึ่งแสดงให้เห็นว่างานนี้ กรีนกราสส์ได้เรียนรู้ว่า ไม่ควรพูดว่า ‘ไม่อีกแล้ว’ สักที

จากเรื่อง JASON BOURNE การผจญภัยครั้งใหม่ ในโลกใหม่ของเจสัน บอร์น โดย ฉัตรเกล้า นิตยสารเอนเตอร์เทน ฉบับที่ 1212 ปักษ์หลังกรกฎาคม 2559

ติดตามอ่านเรื่องราว ข่าวสาร ชมตัวอย่าง ชมคลิป ชม MV อ่านงานวิจารณ์หนัง และเพลง แบบนี้ ได้ด้วยการกดไลค์ Like เพจสะเด่าส์กันไว้ก่อน ได้ที่นี่

 

What is your reaction?

Excited
0
Happy
0
In Love
0
Not Sure
0
Silly
0
Sadaos
พบข่าวสารจากวงการหนัง-เพลง ภาพสวยของดาราสาว, วิจารณ์-แนะนำ งานเพลง, ภาพยนตร์ และรับสั่งซื้อ CD/ DVD ทั้งในและต่างประเทศ. Sadaos Is entertainment news page and online shop for people who love movie and music. We sell many entertainment items like used and new DVD, CD, postcards, accessory, souvenirs.

You may also like

More in:FEATURES

Comments are closed.