โดย ประวิทย์ แต่งอักษร
THE MISSING PICTURE: อย่างที่คนที่พอจะรู้ว่าหนังเรื่อง The Missing Picture เกี่ยวข้องกับอะไร-พอจะเดาได้ นี่คือหนัง Feel-Sad ที่สุดเรื่องหนึ่ง ส่วนหนึ่งเพราะมันพูดถึงเหตุการณ์ที่เป็นรอยด่างพร้อยและความน่าอัปยศบนหน้าประวัติศาสตร์ และก็ไม่ใช่ของประเทศกัมพูชาเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงมวลมนุษยชาติด้วย นั่นคือช่วงเวลาที่รัฐบาลเขมรแดงภายใต้การนำของพอลพตเรืองอำนาจในระหว่างปี 1975-1979 อันส่งผลให้ไม่เพียงแค่ทั้งประเทศถูกสังคายนาและรื้อปรับระบบครั้งมโหฬาร แต่มันยังนำไปสู่การ ‘ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์’ ทั้งศัตรูและคนที่ไม่เห็นด้วยกับอุดมการณ์ของพรรคนับรวมแล้ว 2-3 ล้านคน
แต่โฟกัสของหนังไม่ได้อยู่ที่การสาธยายประวัติศาสตร์ส่วนที่ได้รับบันทึกไม่ว่าจะด้วยภาพนิ่ง, ภาพเคลื่อนไหว หรือบนสื่อสิ่งพิมพ์ (ถึงกระนั้น ต้องบอกว่าฟุตเตจภาพข่าวที่ถูกนำมาเรียงร้อย-‘เปิดหูเปิดตามากๆ’) แต่มันได้แก่หน้าประวัติศาสตร์ที่ ‘ไม่’ ถูกบันทึก หรือตกหล่น หรือสูญหายไป และนั่นรวมถึงโศกนาฏกรรมส่วนตัวของฤทธิ ปาห์นซึ่งในตอนที่กองทัพเขมรแดงยึดอำนาจ ปาห์นในวัยสิบขวบและครอบครัว-ถูกบังคับให้ต้องละทิ้งถิ่นฐานบ้านเกิดเหมือนกับคนอื่นๆ ไปทำงานหนักในชนบทและลงเอยด้วยพ่อ, แม่, พี่ชาย และญาติคนอื่นๆตายหมด มีเพียงเขารอดชีวิตอยู่คนเดียว และวิธีการอันชาญฉลาดที่ปาห์นใช้ในการชดเชยหรือเติมเต็มสิ่งละอันพันละน้อยที่เกิดขึ้น แต่ทว่าไม่มีกล้องถ่ายภาพนิ่งหรือภาพเคลื่อนไหวเก็บบันทึกเหตุการณ์เหล่านั้นเอาไว้-ก็ด้วยการปั้นตุ๊กตาดินเหนียว จำลองเหตุการณ์ และสถานการณ์ต่างๆนานา
แต่แทนที่มันจะช่วยบรรเทาเบาบางความรู้สึกอันหนักอึ้งจากการได้เห็นของจริง เหล่าตุ๊กตาดินเหนียวในอิริยบถต่างๆกลับยิ่งกัดกร่อนความรู้สึกอย่างสาหัสสากรรจ์ (อีกทั้ง Texture อันหยาบกระด้างของตัวดินเหนียวก็ยิ่งทำให้ตัวตุ๊กตาเหล่านั้นห่อหุ้มไว้ด้วยเจ็บปวดทุกข์ทรมาน) ข้อสำคัญก็คือ โดยที่คนทำหนังไม่ได้บีบเค้น หรืออันที่จริง เห็นได้ชัดว่าเขาพยายามจะลดทอนและหลบเลี่ยง และไม่มีตรงไหนที่หนังแสดงออกอย่างคร่ำครวญฟูมฟาย
จริงๆแล้ว มีอะไรอยากจะเขียนถึงอีกมากมายมหาศาล (เช่นเรื่องของแม่คนหนึ่งที่ถูกจับได้ว่าขโมยมะม่วง และลงเอยด้วยการถูกลูกชายวัยเก้าขวบประนามต่อหน้าธารกำนัล ก่อนที่เธอจะถูกพาเข้าไปในป่าลึกและไม่ได้กลับออกมาอีกเลย) แต่คงจะเก็บเอาไว้เขียนจริงๆจังๆเพื่อการตีพิมพ์ในนิตยสารภายหลัง และขอสรุปแต่เพียงสั้นๆว่า นี่คือหนังที่โยนคำถามที่สำคัญมากๆอันหนึ่งให้กับพวกเราผู้ชม (และดูเหมือนว่ามันจะเกี่ยวข้องกับพวกเราไม่ทางตรงก็ทางอ้อม ณ ห้วงเวลาปัจจุบัน) และนั่นก็คือ มวลมนุษยชาติพากันมาถึงตำแหน่งแห่งที่ที่ ‘ความเป็นมนุษย์’ ไม่หลงเหลือแบบนี้-ได้อย่างไร