MISSION: IMPOSSIBLE – ROGUE NATION: การกลับมาของขบวนการยอดพยัคฆ์ร้ายในครั้งนี้ ถือว่าในส่วนของนักแสดงหนังได้ทีมเดิมจากภาคก่อนหน้ามากันครบ แต่ผู้กำกับก็ยังคงเปลี่ยนเหมือนเดิม และหนนี้ก็เป็นฝีมือของคริสโตเฟอร์ แม็คควอรี ที่เพิ่งกำกับทอม ครูซไปใน Jack Reacher หนังที่เคยถูกหมายหมั้นปั้นมือว่าจะเป็นหนังภาคต่อยาวๆ ให้กับทอม ครูซอีกเรื่อง เพราะตัวนิยายนั้นก็มีกันหลายเล่มหลายตอน
หนังมาพร้อมกับเรื่องราวซ่อนเงื่อน เฉือนปม หักหลัง หักเหลี่ยมกันไปมา โดยหนนี้ศัตรูของอีธาน ฮันท์ (กับพวกพ้อง และหน่วยไอเอ็มเอฟ) ก็คือ องค์กรลับที่ชื่อ ซินดิเคท (คนละอันกับใน Prison Break นะพี่-น้อง) ที่ไม่มีใครรู้ว่ามีตัวตนจริงหรือไม่ และกำลังหาทางจัดการกับไอเอ็มเอฟแบบถอนรากถอนโคน
ฉากแอ็คชันใหญ่ๆ มาครบ และสนุกสนานบานตะไทใช้ได้ ไม่ว่าจะเป็นฉากเปิดเรื่องเมื่อฮันท์ต้องโดดเกาะเครื่องบินขนส่งลำยักษ์, ฉากไล่ล่าด้วยรถมอเตอร์ไซค์, ฉากจารกรรมข้อมูล และฉากลอบสังหารที่โรงละคร แต่ที่ดร็อปลงไปก็คือ ฉากในแบบที่ให้ความรู้สึกลุ้นแบบสุดๆ มันหายไป ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นพร้อมคนดูได้ เสียวแบบเล่นของสูงกันตั้งแต่ฉากเปิดแล้วก็เป็นได้ ขณะที่ความไฮ-เทคทั้งหลายก็ดูจะน้อยไปหน่อย
แต่ก็อย่างที่บอก ยังสนุกสนานใช้ได้ แม้จะขาดรสชาติจัดจ้านไปบ้างก็ตามที
ที่น่าสนใจก็คือ บทและเรื่องของหนังภาคนี้ ที่มาในอารมณ์เดียวกับหนังภาคแรก ให้อารมณ์แบบหนังสายลับยุคเก่า ที่ตัวละครไม่สามารถเชื่อใจใครได้ และแต่ละคนต่างก็มีเป้าหมายในใจกันแทบทุกคน หากก็ไม่ซับซ้อน หรือว่าหักมุมกันจนออกมามันส์แบบงงๆ เหมือนหนังของไบรอัน เดอ พัลมาเรื่องนั้น ที่โดดเด่นอีกอย่างก็คือ ดนตรีประกอบที่ทำให้หนังตื่นเต้น ลุ้นระทึกเพิ่มขึ้นมาอีกเป็นพะเรอเกวียน ซึ่งก็ไม่ต่างไปจากงานของเดอ พัลมา อีกเช่นกัน
ฉากไคลแม็กซ์ช่วงท้าย อาจจะมีสงสัยว่า ขนาดหนีกันตับแล่บขนาดนั้น ยังล่อหลอกให้อีกฝ่าย ไล่ล่ามาติดกับดักได้เฉย แต่ถ้าไม่ใช่พวกหูผี จมูกมด เหตุการณ์ในหนังก็น่าจะทำให้เพลิน แบบลุ้นๆ จนนึกไม่ถึงกัน
เป็นเหมือนงานหนังแอ็คชัน สายลับ แบบโอลด์-สคูล ที่เติมสีสันแห่งยุคสมัย และลายเซ็นของหนัง Mission: Impossible ในแบบของทอม ครูซ ลงไปแล้วเกลี่ยผสมกันได้อย่างลงตัว ดูสนุก แต่ไม่หวือหวา คือนิยามของหนังในภาคนี้
โดย นพปฎล พลศิลป์
สามารถกดไลค์ Like เพจสะเด่าส์ ได้ที่นี่