มี Girl Who Got Away เป็นอัลบัมชุดสุดท้ายตั้งแต่ปี 2013 หลังจากนั้นไดโดก็หายหน้าหายตาไปจากวงการเลยก็ว่าได้ แต่ถ้าย้อนไปดูการออกอัลบัมแต่ละชุดของเธอ นับตั้งแต่งานชุดแรก No Angel ในปี 1999 ก็ต้องรอกันถึง 4 ปี กว่าจะได้ฟังงานชุดที่สอง Life for Rent ส่วนอัลบัมที่สาม Safe Trip Home ก็ออกหลังงานชุดก่อนหน้าถึง 5 ปี พอๆ กับระยะห่างของ Girl Who Got Away งานชุดต่อมากับ Safe Trip Home
เพราะฉะนั้นหากมองเป็นเรื่องปกติก็คงได้ แต่ถ้าจะมองให้เป็นเรื่องไม่ธรรมดา ก็คงต้องมองกันที่ว่า ไดโดเป็นศิลปินที่ใช้เวลาทำงานหรือพักระหว่างแต่ละอัลบัมนานเหลือเกิน แต่ถ้ามองกันที่เนื้องาน ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่คุ้มค่าการรอคอย เพราะแต่ละชุดนั้นมาพร้อมคุณภาพที่ดี เห็นได้จากคำวิจารณ์ในแง่บวกที่ได้รับมาตลอด แม้งานบางชุดอย่าง Safe Trip Home เมื่อปี 2008 อาจจะไม่เวิร์คนักในเรื่องของยอดขาย แต่ก็อย่าลืมว่า สองอัลบัมแรกของไดโด คืองานที่ประสบความสำเร็จระดับ ‘มหาศาล’ ที่ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับอัลบัมที่วางขายในยุคดิจิตอลเต็มตัว จะทำได้เช่นเดียวกับอัลบัมที่ออกมาในยุคที่ผู้คนยังซื้อหาแผ่นมาฟังกัน
Still on My Mind ป็อปของไดโดยังคงเป็นป็อปที่มาพร้อมซาวนด์เก๋ๆ ดนตรีทำนองสวยเหมือนเช่นที่เคยเป็น แถมฟังสนุกกว่างานชุดก่อนหน้าด้วยซ้ำไป จังหวะจะโคนของเพลงก็อยู่ในระนาบเดียวกันทั้งอัลบัม แต่ก็ไม่ได้น่าเบื่อ หรือเนิบเนือย ด้วยความที่แต่ละเพลงก็มีรายละเอียดของดนตรีเข้ามาเสริม พาให้แต่ละเพลงมีสีสันที่แตกต่าง
อย่าง เสียงกีตาร์ซนๆ ใน “Mad Love”, คอรัสน่ารักๆ ของ “Friends”, บีทแบบเพลงเต้นรำจาก “Take You Home” หรือว่า “Walking By” ที่ในแต่ละท่อน จะค่อยๆ ไต่อารมณ์ขึ้นไปเรื่อยๆ
ทั้งหมดอยู่ในโครงสร้างของดนตรีแบบอิเล็คโทร-ป็อป ที่ฟังสวย แล้วเมื่อเปิดฟังแบบบางๆ รวดเดียวไปทั้งอัลบัม Still on My Mind คืองานที่เหมาะเหลือเกินที่จะใช้สร้างบรรยากาศโรแมนติก รวมไปถึงให้ความรู้สึกที่อบอุ่น แม้หลายๆ เพลงจะไม่ได้ว่าด้วยความรู้สึกสุขสมนักก็ตามที
อย่าง “Hell After This” ที่ว่าด้วยชีวิตหลังคนรักจากลา ที่ต่อให้นรกมาอยู่ตรงหน้าต่อจากนี้ ก็สามารถสนุกกับมันได้ ที่จะว่าไปแล้วก็คืองานเสียดสีแบบคันๆ นั่นเอง
หรือ “Some Kind of Love” ที่เนื้อร้องบอกว่า “When we lose what we love / Don’t think anything will ever taste the same / When we lose what we love / Don’t think anything will ever feel as good again / Now I know how much the anger, however much the pain / Destroy only enough that enough still remains of / Some kind of love, some kind of love, some kind of love / Some kind of love, some kind of love, some kind of love” ซึ่งไมต่างไปจากให้ทำลายความรู้สึกถึงความรักที่ผ่านไป เพราะมันก็ความรักอีกแบบหนึ่งเท่านั้น
ส่วน “Walking By” ก็คือการบอกกับฝ่ายชายว่า เขาคือคนที่ทำตัวเองอกหัก ทำความรักพัง “Please don’t forget that you broke your own heart /And don’t forget that you lost your mind”
ที่น่าสังเกตุก็คือ เพลงรักส่วนใหญ่ในอัลบัมไม่ว่าจะเป็นเชิงบวกหรือลบ (ยกเว้น “Have to Stay” ที่เป็นเพลงจากแม่ถึงลูก) ผู้หญิงในเพลงจะมาพร้อมกับความแข็งแกร่ง ไม่มีฟูมฟายกับความรัก ถ้าผิดหวังก็ยอมรับและก้าวต่อ ถ้าสมหวังก็สนุกกับมันให้เต็มที่ โดยที่ไม่ต้องนึกถึงอะไร กระทั่งพระเจ้า อย่างที่เพลง “You Don’t Need a God” ว่าเอาไว้
ถือว่าเนื้อหาเรื่องราวในเพลงก็เป็นเช่นเดียวกับดนตรี ที่พุ่งไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งบอกได้ว่า นี่คืออัลบัมอีกชุดที่เนื้อหา-ดนตรี-โทนของเพลง ถูกสร้างขึ้นมาอย่างแข็งแรงเพื่อให้หลอมรวมได้อย่างกลมกลืน จนไม่น่าแปลกใจที่ทุกครั้งที่เปิดฟังงานชุดนี้ จะเผลอฟังยาวตั้งแต่เพลงแรกไปจนถึงเพลงสุดท้ายทุกครั้งไป
โดย นพปฎล พลศิลป์ เรื่อง อัลบัมใหม่ที่กลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกัน หลังจาก 6 ปีที่หายไปของไดโด คอลัมน์ ดนตรีมีเหตุ หนังสือพิมพ์ ไทยโพสท์ วันที่ 5 เมษายน 2562