‘Free Guy’ ไม่ใช่หนังเรื่องแรกที่พูดถึงโลกในวิดีโอเกม แต่เท่าที่เห็นและจำได้ หนังส่วนใหญ่จะเล่าเรื่องผ่านมุมมองของมนุษย์ที่เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในเกม เช่น ‘Ready Player One’, ‘Tron’ หรือ ‘Jumanji’ ฉบับใหม่ ไม่ใช่จากมุมมองของตัวละครในเกม แม้อาจจะมีที่เทียบเคียงได้อย่าง ‘Wreck-It-Ralph’ ที่ว่าด้วยชีวิตที่น่าเบื่อของคนในเกม ที่เจอกับอะไรเดิม ๆ แต่ก็ยังแตกต่าง เมื่อในแอนิเมชันของดิสนีย์ เป็นมุมมองของตัวละครหลัก เป็นเหตุการณ์ของเจ้าของเกม
หากใน ‘Free Guy’ ตัวเอกคือตัวละครที่เป็นตัวประกอบดาด ๆ ในเกม เป็นคนไม่สำคัญ เป็นคนที่ถูกฆ่า หรือว่าถูกทำร้าย โดยตัวละครหลักในเกม หรือบรรดาตัวละครที่มีผู้เล่น ซึ่งเรียกว่า ‘Non-Playing Character (NPC) หรือตัวละครที่ไม่มีใครเล่น ชีวิตของพวกเขาจะเป็นไปแบบเดิม ๆ เพิ่มเติมคือ ไม่มีพัฒนาการ และความเป็นไป ผิดไปจากตัวละครหลักที่ต้องมีการตอบโต้กับตัวละครที่มีผู้เล่นไปตามที่ปัญญาประดิษฐ์สามารถทำได้
แต่แล้วฟรี กาย (ไรอัน เรย์โนลด์ส) พนักงานธนาคารในเกม Free City ที่ต้องถูกปล้นทุกวัน ก็ไปเจอบางสิ่งบางอย่างที่กระตุ้นให้เขา ‘คิดเอง’ และ ‘ใช้ชีวิต’ เป็นขึ้นมา เมื่อได้พบกับตัวละครสาวนักสู้ โมโลทอฟ เกิร์ล ที่มีมิลลี่ (รับบทโดย โจดี้ โคเมอร์ ทั้งคู่) เป็นผู้เล่น ซึ่งไม่ได้เล่นเกมเพื่อความสนุกโดยทั่ว ๆ ไป เพราะเธอเข้ามาเพื่อหาหลักฐานที่แสดงว่า ตัวเองคือผู้เขียนโค้ดของเกมตัวจริง ซึ่งถูกฉกไปโดย แอนต์วัน (ไทกา ไวตีติ) หัวหน้าทีมพัฒนาเกมที่เป็นเจ้าของบริษัทเกมซูนามิ และเจ้านายของวอลเตอร์ “คีย์ส” แม็กเคย์ (โจ คีรี) ที่ร่วมพัฒนาเกมนี้กับมิลลี
เรื่องไปกันใหญ่ เมื่อฟรี กาย หลงรักโมโลทอฟ เกิร์ล และอัพเลเวลของตัวเองด้วยตัวเอง หากเพราะรูปลักษณ์ที่เป็นตัวละครประกอบ ทำให้คีย์สกับเพื่อนร่วมงานคิดว่า มีใครบางคนแฮ็กเข้ามาในเกม พยายามหาทางแก้ไข แต่สำหรับคนที่เล่น Free City นี่คือตัวละครที่สร้างเซอร์ไพรส์ และกลายเป็น ‘ผู้เล่น’ โปรดของหลาย ๆ คน ที่สามารถส่งผลกระทบในเกมไปยังตัวประกอบรายอื่น ๆ
ในที่สุดคีย์สก็พบว่า ฟรี กายไม่ใช่แฮ็คเกอร์ แต่เป็นตัวละครประกอบที่พัฒนาตัวเองได้จากบางสิ่งบางอย่าง และเพราะแอนต์วันต้องการปล่อยเกม Free City 2 ที่จะลบตัวละครใน Free City ออกไป ซึ่งหมายถึงหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า มิลลี่กับคีย์สคือผู้พัฒนาเกมตัวจริงด้วย เวลาของทั้งคู่จึงเหลือน้อยเต็มที เช่นเดียวกับตัวตนของฟรี กาย หนึ่งเดียวที่สามารถช่วยโมโลทอฟ เกิร์ล (หรือมิลลี) ค้นหาโค้ดที่ว่าในเกมนี้
ด้วยมุมมองจากตัวละครที่แตกต่าง ‘Free Guy’ เลยมีความสดในตัว ที่ชอว์น เลวี ผู้กำกับที่มีหนังดัง ๆ อย่าง ‘Night at the Museum’ หรือ ‘Date Night’ (แต่ส่วนตัวแล้วชอบงานอย่าง ‘Real Steel’ มากกว่า) ก็ไม่ทำให้สิ่งที่หนังมีเป็นทุนตั้งตัว จากเรื่องของ แม็ตต์ ไลเบอร์แมน ที่เขียนบทร่วมกับแซ็ก เพ็นน์ ต้องเสียเปล่า เลวีเล่าเรื่องได้สนุก ที่เห็นได้ชัดว่า ที่มาส่วนหนึ่งของมุขตลก อารมณ์ขันทั้งหลาย น่าจะมาจากไอเดียของเรย์โนลด์ส เมื่อเล่นกับการแซวหนัง เอาเพลงประกอบมาเป็นมุข เหมือนที่เคยเห็นใน ‘Deadpool’ ทั้งสองภาค ที่หากเป็นสายหนัง-คอเพลง ‘Free Guy’ มีมุกแพรวพราวให้ได้ยิ้ม ให้ได้หัวเราะแน่ ๆ
ขณะที่การเล่นกับลักษณะของตัวละครพวกตัวประกอบในเกม ก็เป็นอีกองค์ประกอบที่ทำให้หนังออกมาเพลิน
การแสดงเข้าขา-รับส่งกันได้อย่างลงตัว โดยเรย์โนลด์สเป็นตัวละครศูนย์กลาง แต่ที่เป็นเสน่ห์และสีสันจัดๆ ก็คือ แชนนิง ทาทัม ที่หายหน้าไปนาน กับไทกา ไวตีติ ผู้กำกับ ‘Thor: Ragnarok’ ที่เล่นได้มันส์ทั้งคู่ แล้วก็พวกนักแสดงที่ขึ้นจอแบบคามีโอให้เซอร์ไพรส์อีกเป็นระยะ ๆ ซึ่งต่างก็ใช้เวลาที่น้อยนิดบนจอได้อย่างคุ้มค่า
แม้จะเดินหน้าแบบหนังแอ็กชัน-เบาสมองมาตลอด โดยมีเรื่องโรแมนซ์ของกายกับโมโลทอฟ เกิร์ลเป็นของหวาน แต่พอเผยสาเหตุที่ทำให้กาย คิดได้ ใช้ชีวิตเป็น ที่นอกจากจะเป็นสถานการณ์พลิกผันเล็ก ๆ ของหนัง ยังทำให้ ‘Free Guy’ จบลงได้อย่างสวยงาม อบอุ่นในแบบงานโรแมนติก ก่อนที่จะตอกย้ำด้วยความสัมพันธ์ของเพื่อน ที่ช่วยให้หนังสนุก ๆ ที่มีความสดในตัวเรื่องนี้ มีความรู้สึกดี ๆ ปิดท้าย
โดย นพปฎล พลศิลป์ คอลัมน์ ชำแหละแผ่นฟิล์ม นิตยสารเอนเตอร์เทน ฉบับที่ 1338 ปักษ์หลังตุลาคม 2564
ติดตามอ่านเรื่องราว ข่าวสาร ชมตัวอย่าง ชมคลิป ชม MV อ่านวิจารณ์หนังและเพลง ได้ด้วยการกดไลค์เพจสะเด่าส์ ได้ที่นี่